อิสลามมีนักบวช/นักบุญ
นักบวชอิสลามเรียกว่ามุลลอฮ์,มอวลา,เมาว์ลานา หรือ Islamic Cleric "رجل دين إسلامي" "เราะญลุดดีนอิสลามมีย์"
นักบุญอิสลามเรียกว่าเอาว์ลิยาอ์
ท่านพี่โอ๊ค
ยูเรเซีย-ท่านอิสลามมีร์ซาเป็นนักบุญอิสลาม
และมีเชื้อสายศาสดาที่แท้จริง

ใครคือนักบวชของอิสลาม? นักบวชในศาสนาอิสลามเป็นยังไง? แล้วบวชอิสลามทำไม? ทุกคำถามมีคำตอบอย่างยืดยาวลุ่มลึกล้ำลึก
ยากที่จะหยั่งถึง ท่านอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย
ได้ทำการเทศนาไว้อย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับคำว่า “นักบวชอิสลาม” มีเนื้อหาสาระ
ที่คนทั่วไปอาจจะเข้าใจยาก วาทกรรมที่มีใจความว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “การบวช” ในศาสนาอิสลาม อาทิ นักบวชอิสลามซูฟี
(Sufi) ซูฟีคือผู้ที่มุ่งเน้นการแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจและการเข้าถึงพระเจ้าอย่างลึกซึ้งผ่านการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ
(Mysticism) โดยไม่ได้เป็นนิกาย
แต่เป็นกระแสหนึ่งในอิสลามที่เน้นการชำระตนเองให้บริสุทธิ์ (Safa) การใช้ชีวิตเรียบง่าย
(เหมือนใส่เสื้อขนสัตว์ - Suf) และการเข้าถึงความจริงแท้ของพระเจ้า (Al-Haqq) มีหลายแนวทาง (Tariqa) ในการปฏิบัติ เช่น
การใคร่ครวญลึกซึ้ง การควบคุมลมหายใจ และการละทิ้งกิเลส. ลักษณะสำคัญ ได้แก่
การมุ่งเน้นภายใน:
เน้นการพัฒนาจิตวิญญาณและการเข้าถึงพระเจ้ามากกว่าพิธีกรรมภายนอก.
ความสันโดษและเรียบง่าย: มักใช้ชีวิตสมถะ ละทิ้งความฟุ่มเฟือย. การฝึกฝนจิตใจ:
มีการฝึกฝนเพื่อควบคุมอารมณ์และจิตใจ. ความรักต่อพระเจ้า:
ความรักและความภักดีต่อพระเจ้าเป็นหัวใจสำคัญ. มีหลากหลายแนวทาง:
มีสำนักหรือแนวปฏิบัติ (Tariqa) แตกต่างกันไป แต่เป้าหมายเดียวกันคือการเข้าใกล้พระเจ้า.
ที่มาของคำว่า 'ซูฟี' มาจากคำว่า "ซูฟ"
(Suf) หมายถึง ขนแกะ
(เสื้อคลุมที่ซูฟีดั้งเดิมสวมใส่) และก็มีทฤษฎีที่มาจากคำว่า "ซาฟา" (Safa) หมายถึง
ความบริสุทธิ์ และอีกทฤษฎีคือมาจากคำว่า "อะห์ลุส ซัฟฟาห์"
(Ahl-us Saffah) คือกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตสันโดษที่มัสยิดของท่านศาสดามูฮัมหมัด
ส่วนท่านพี่โอ๊คมีความเป็นนักบวชในตัวเองอยู่มากและได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามทีหลังตอนออกบวชเดือนรอมฎอน
เลยเป็นที่มาให้ท่านพี่โอ๊คถูกเรียกว่านักบวชอิสลาม
ชื่อจริงก็กลายเป็นท่านอิสลามมีร์ซา [ซัยยิด] ยูเรเชีย
ในขณะที่หลายคนก็งุนงงงันกันถึงขนาดต้องการให้มีการตราคำฟัตวามา ณ ที่นี้ อนึ่ง
ต้นตอข้อสงสัยที่ว่า หากจะเรียก ปราชญ์ผู้นำทางศาสนาอิสลาม หรือ “ปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณอิสลาม” เป็น “นักบวชอิสลาม” เป็นการเรียกที่ผิดหรือไม่? ตอบสั้นๆคือไม่ผิดถ้ามองในแง่มุมสากลโลกอย่างลึกซึ้ง
อันดับแรกต้องอธิบายคำจำกัดความของคำว่า “นักบวช” ให้ถูกเสียก่อน

ในปรัชญาซูฟีย์/การบวชอิสลามลึกลับรวมไปถึงการเข้าฌานขั้นสูง (al-Tasawuf,
Sufism/Islamic Mysticism) บทบาทของ
"นักบวช"
โดยทั่วไปจะปฏิบัติโดยท่านปรมาจารย์ศาสนาในหนทางจิตวิญญาณ มีสมญานามฉายา เชค หรือ มุรชิด และ ซัยยิด ซึ่งแตกต่างจากนักบวชที่ได้รับการบวชในศาสนาอื่นๆ บุคคลเหล่าอุลามาอฺคือท่านเจ้าครูผู้ชี้นำเฉพาะทางที่นำพาศิษย์ไปสู่เส้นทางแห่งการชำระล้างจิตวิญญาณและความใกล้ชิดกับพระเจ้า นี่คือสัจธรรมที่เหนือชั้นกว่าคนที่ฝักใฝ่โลกิยะ มนุษย์หลายคนหลงลืมไปว่าเราทุกคนถูกให้มีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อหลงผิดวกวนหรือคลั่งโลกียวิสัย แต่เพื่อรับใช้พระเจ้า
ตอบแทนการที่พระเจ้าให้คนเรามีชีวิตเกิดมาอยู่บนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้
แล้วเหตุใดบางคนไม่คิดยอมจำนนให้พระองค์ประทับใจ ถ้าใครได้ตรึกตรองพิจารณาทบทวนดู ผู้รู้ก็อาจจะตั้งสมการอุปมานเทียบความคิดทัศนคติโรคภาวะสติฟั่นเฟือนมาประยุกต์ใช้กับพวกคนที่หลงใหลในตัวเงินทองและปรนเปรอตนด้วยสิ่งของนอกกาย
หลายคนมัวแต่ดื่มด่ำเสพสิ่งมายาไร้สาระ หลายคนควรปรับเปลี่ยนตัวเองก่อนที่จะหมดเวลาและสายเกินไปในโลกนี้ ภายภาคหน้าทุกคนต้องเตรียมเผชิญหน้าพบกับอวสานวันสิ้นโลกและยมโลกที่กั้นไว้ก่อนจะถึงโลกอนันตกาลชั่วกัลปวสานในโลกหน้า คนเราจะถูกพระเจ้าพิพากษาอัตตา หากใครมีคุณธรรมสำนึกมโนธรรมหิริโอตตัปปะที่ดีงามก็จะไม่หลงผิดไปกับพวกหมอดูหมอผีที่ต่ำช้าสามานย์หากินจากการตั้งภาคีต่อพระเจ้า
ชนผีมั่วหลอกลวงทำนายดวงชะตาที่พระเจ้าห้ามก้าวก่ายไสยศาสตร์ (พวกหมอปลอม-ชนชั้นผี) บาปหนาบาปใหญ่ที่สุดก็คือการไม่เชื่อในพระเจ้าและตั้งภาคี บางคนยังดื้อดันไม่ยอมรับความจริงเมื่อสัจธรรมปรากฏอยู่ข้างหน้าแล้ว บางคนลืมเลือนว่าใครคือเจ้าของชีวิตทุกชีวิต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแท้จริงแล้วต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์คนแรกของโลกอย่างท่านศาสดาอาดัมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีพลังงานสสารของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้สร้างทุกดวงดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ กฎธรรมชาติก็ถูกพระเจ้าสร้างจัดวางระเบียบด้วยพลังมโหฬาร เงื่อนไขที่สรรพสิ่งเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีเหตุ ทุกชีวิตคือผลจากพระเจ้าผู้เป็นเหตุเจ้าตำรับ
พระเจ้าอาจบอกใบ้ถึงคำสำคัญให้ซูฟีผู้ชี้นำทางจิตวิญญาณสากลโลกได้รับรู้ ให้มีปัจจัยศัพทมูลวิทยา ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าอาจารย์หรือที่เรียกกันว่าปรมาจารย์แห่งศาสนา ถ้าสะกดด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นมาตรฐานภาษาระดับโลกรุ่นใหม่เข้ากับภาษาเปอร์เซียเก่าคร่ำครึช่วงริเริ่มซูฟีเรียกกันว่า
“khwaja” (ไม่มีคำอ่านสำเนียงภาษาไทยท้องถิ่น) ควาจา–ท่านปรมาจารย์อิสลามทำหน้าที่เป็นเสมือนพี่เลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่ท่านปรมาจารย์จะถูกเรียกว่า เชค-มุรชิด (ซัยยิด ในกรณีที่สืบเชื้อสายท่านศาสดามูฮัมมัดโดยตรง) คอยให้คำแนะนำและแนวทางอาณาจักรจิตวิญญาณแก่ศิษย์ที่เป็นมุรีด เชื้อสายทางจิตวิญญาณท่านเจ้าอาจารย์ซูฟีเป็นส่วนหนึ่งของซิลซิลา ซึ่งเปรียบดั่งห่วงโซ่แห่งการถ่ายทอดทางจิตวิญญาณที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท่านปรมาจารย์คนต่อๆขึ้นไปจนถึงท่านศาสดามูฮัมหมัด สายโซ่นี้เป็นพื้นฐานของอำนาจและความชอบธรรมเชื่อมโยงศาสนาที่แท้จริงก็คืออัลอิสลาม ตัวกลางและแบบอย่างของเชคมุสลิมซูฟีทำหน้าที่เป็นผู้กำกับนำตัวอย่างเพื่อดึงศิษย์ให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นผ่านการทำสมาธิและการเดินทางบนบรรทัดฐานจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม นักบวชอิสลามคือปรมาจารย์แห่งศาสนาที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวกลางเพื่อกราบไหว้บูชาเจว็ดเหมือนนักบวชทั่วไปในศาสนาอื่น เพราะนักบวชอิสลามสักการบูชาพระเจ้าเท่านั้น อิสลามไม่มีพระ มีแต่พระเจ้า (พระเจ้าพระองค์เดียว) อิสลามมีนักบวชอิสลาม หัวหน้าคณะผู้นำทางจิตวิญญาณนิกายซุนนีซูฟีดั้งเดิมบางท่านมีนามว่า “มีร์ซา” ที่แปลว่าเจ้าชายในภาษาเปอร์เซีย/ฟาร์ซี (กรณีแบบท่านอิสลามมีร์ซาที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองจักรวรรดิหรือเจ้าจักรพรรดิจริงๆที่ไม่ใช่แค่จักรพรรดิ) และมี “อัลตารีกอ”
(al-Tariqa) หรือตอรีกัตนั่นเอง องค์กรซูฟี หรือภราดรภาพอัลตะเซาวุฟ ชมรมขององค์กรทางศาสนาที่แท้จริงก็มีกลุ่มที่บรรดาปรมาจารย์และศิษย์มารวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ มีผู้สนับสนุนกฎหมายอิสลาม แบบเชคซูฟีย์ชัยคฺที่แท้จริงต้องมีความรู้ลึกซึ้งในอัลกุรอานและหะดีษ และปฏิบัติตามชารีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) อย่างเคร่งครัด การปฏิบัติของชีคซูฟีถือเป็นการเสริมสร้างศรัทธาอิสลามให้เข้มแข็งขึ้น และไม่สามารถให้ความเชื่อบิดเบือนมาแทนที่รากฐานของศรัทธาได้ แตกต่างจากนักวิชาการศาสนาอื่นๆเพราะอัลอิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด

แม้ว่าบุคคลบางท่าน เช่น มุลลอฮ์และอุลามะฮ์ จะสามารถทำหน้าที่เป็นครูสอนชุมชนและผู้นำการละหมาดในศาสนาอิสลาม แต่บทบาทของเชคมุรชีดจะมุ่งเน้นไปที่เส้นทางลึกลับภายใน หรือตะเซาวุฟ คำบัญญัติอาเทศที่สำคัญ เชค-มุรชิด และซัยยิด เป็นสามคำเรียกขานอันเป็นเกียรติสำหรับท่านปรมาจารย์เจ้าอาจารย์ทางจิตวิญญาณของซูฟียฺ เชคในบางบริบทก็มีความหมายตามตัวอักษรว่า
"ผู้อาวุโส"
ส่วนมุรชีดคืออีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกผู้นำทางจิตวิญญาณในซูฟียฺ ตอรีกัตคือคณะของท่านปรมาจารย์และลำดับทางศาสนาอิสลามที่มีอาเทศต่างๆซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักฌานครุ่นคิดตริตรอง ตรัสรู้ญาณแห่งความรู้ขั้นสูงพร้อมการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ได้รับพรจากพระเจ้า แท้จริงแล้วนักบวชอิสลามก็เป็นนักเข้าฌานโดยเฉพาะการบรรลุสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าความรู้รอบตัวสามัญชน มุรีดเป็นศิษย์หรือผู้ติดตามที่อุทิศตนเพื่อศาสนา ผ่านการชี้นำของเชคมุรชิดหรือไซยิด ส่วนซิลซิลาแปลว่าลำดับวงศ์ตระกูล-กำพืดทางจิตวิญญาณหรือสายโซ่แห่งการถ่ายทอดที่เชื่อมต่อกับท่านปรมาจารย์ซุนนีซูฟีสืบกลับไปยังท่านศาสดามุฮัมมัด อนึ่งอีกนัยก็เกี่ยวข้องวิทยาศาสตร์กรรมพันธุ์ พันธุศาสตร์ย่อมมีความสำคัญในการสืบเชื้อสายทั้งแง่มุมชีวกายภาพและจิตวิญญาณ ส่วนอีกคำหนึ่งที่คนส่วนมากไม่รู้จัก “เดอร์วิช” นักปราชญ์ผู้ฝึกฝนวินัยพิเศษ ซึ่งอาจรวมถึงการปฏิบัติธรรมขั้นสูงแบบนักพรตผู้ถือศีลครบถ้วนโดยสามารถตัดกิเลสตัณหาราคะให้หมดไปอย่างสิ้นซาก มุริดที่เพิ่งเริ่มหัดบวชอิสลามในบางครั้งก็อาจโดนเชคมุรชิดลองทดสอบความอดทนและหยั่งเชิงเทคนิค เชค มุรชิด และซัยยิดบางท่านก็เป็นนักบุญผู้วิเศษของพระเจ้าที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้แสดงความมหัศจรรย์เชิงประจักษ์ให้เห็น เช่นกรณีท่านซัยยิดพี่โอ๊ค ในตัวท่านปรมาจารย์อิสลามมีร์ซามีฐานะเอาว์ลิยาอฺ (awliya’)
คือนักบุญอิสลาม การใคร่ครวญไตร่ตรองฐานของปรัชญาอิสลามซูฟีย์ นักบวชอิสลามคือผู้นำทางจิตวิญญาณในหมู่คณะซูฟี (ตอรีกัต) เจาะจงเฉพาะทาง ซึ่งนำทางศิษย์ไปบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณสู่พระเจ้า โดยมุ่งเน้นไปที่การชำระล้างมลทินจิตใต้สำนึกมิติภายใน ควบคู่ขนานกับการบรรลุฌานกับญาณที่ได้มาซึ่งประสบการณ์ทางจิตวิญญาณโดยตรงของเจ้าตัวอย่างถ่องแท้ อาทิ สารคดี
“Prince of Eurasia: Monotheism and Devils” (เจ้าชายแห่งยูเรเซีย: หนทางสู่พระเจ้า) มีท่านพี่โอ๊คยูเรเซียเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ เรื่องราวที่ท่านไซยิดพี่โอ๊คบรรลุการบวชอิสลามแล้วสู้กับมาร ปราบพวกร่างทรงวิญญาณภูตผีปีศาจ แล้วท่านพี่โอ๊คก็เทศน์สอนหนังสือตำราให้ฟังถึงสัจธรรมในโลก นักบวชอิสลามแบบท่านพี่โอ๊คซัยยิดอิสลามมีร์ซาไม่ใช่แค่อิมามนำละหมาดเท่านั้น เนื่องจากท่านซัยยิดนักบวชอิสลามมุ่งเน้นการตีความกฎหมายทางศาสนาเป็นหลักด้วยบทบาทของนักบวชซูฟีเกี่ยวข้องกับการเทศนาถ่ายทอดความรู้และคำชี้แนะหนทางจิตวิญญาณ ซึ่งถือเป็นมิติส่วนบุคคลภายในอันลึกลับสู่ภายนอกของศาสนาอิสลาม ถึงกระนั้นก็ดี ท่านอาจารย์ซัยยิดอิสลามมีร์ซาปรมาจารย์ศาสนา ยังคงยืนกรานยืนยันคำฟัตวาว่า ซูฟียฺไม่ใช่ลัทธิ ทั้งนี้ก็เพราะแก่นแท้อิสลามมีเพียงเสาหลักแห่ง “อากีดะห์” หรือความเชื่อแขนงเดียวที่เที่ยงตรงนั่นก็คือ “อัลอิสลาม” ที่มีซุนนะห์เป็นแบบอย่างคือการตามรอยท่านศาสดามูฮัมมัดผู้เป็นศาสดาที่แท้จริงท่านสุดท้ายตลอดกาล บทบาทและลักษณะสำคัญผู้นำทางจิตวิญญาณ วิสัยทัศน์นักบวชซูฟีคือการชี้นำผู้คนทุกคนรวมทั้งศิษย์ ในการเดินทางทางจิตวิญญาณ ซึ่งเรียกว่า ตอรีกา มีปรมาจารย์ช่วยถ่ายทอดความรู้ทางจิตวิญญาณและการปฏิบัติของคณะ ช่วยให้ศิษย์ชำระจิตวิญญาณและใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น การศึกษาธรรมะมีหัวหน้าที่เรียกว่า “เจ้าชายแห่งศาสนา” หรือ
“Mir ul Urah” ในสมาคมนักบวชเป็นผู้ชี้แนะแนวทางนำอุดมการณ์และทฤษฎีภราดรภาพซูฟีเฉพาะของตน ซึ่งเป็นคณะของศาสนาอิสลามที่ศักดิ์สิทธิ์และมีสถาบันกับผู้ช่วยเหลือ มุ่งเน้นที่ความจริงภายในซึ่งแตกต่างจากนักบวชโบราณที่อาจมุ่งเน้นไปที่กฎหมายศาสนาภายนอก (ชารีอะห์) มากกว่า นักบวชซูฟีจะเน้นที่ความจริงภายในด้วยประสบการณ์ที่อัศจรรย์ (ฮากีกอต) บวกกับการทำสมาธิ
“muraqabah” พร้อมซิเกรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการตะเซาวุฟเพื่อเข้าถึงความรู้ศักดิ์สิทธิ์ (มาริฟัต) เช่นความรู้ในการเข้าใจสัจพจน์ ความเข้าใจถึงการมีอยู่ของพระเจ้าที่นิรันดร์ การบรรลุสัจธรรมในการสุญูดกราบพระเจ้าพระองค์เดียว

ท่านพี่โอ๊ค ยูเรเซีย
(ท่านอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย) ฮุก่มอย่างเป็นทางการ
ท่านอาจารย์ซัยยิดพี่โอ๊คประกาศฟัตวา: อิสลามมีนักบวชที่มีศิยาม
นักบวชอิสลามเรียกว่าอะไรที่ไม่ใช่ "อิหม่าม" ? ซึ่งท่านอาจารย์อิสลามมีร์ซาตอบว่าแท้จริงแล้วนักบวชอิสลามเรียกว่า "มุลลอฮ์" (มุลลาห์/มุลลาวี/มอว์ลาห์/เมาว์ลานา).
ท่านพี่โอ๊คซัยยิดอิสลามมีร์ซาผู้เป็นเมาลานาได้เทศนาเกี่ยวกับการฟัตวาและการฮุก่มแจ่มแจ้ง
อธิบายเรื่องการบวชอิสลามสุดแท้กระจ่าง โดยมีหลักเกณฑ์กฎข้อสำคัญที่ต้องคำนึงก็คือ
คำว่า “บวช” แปลว่าการละทิ้งโลกมายาแล้วเข้าสู่ทางโลกสัจธรรม
เข้าฌาน-ทำสมาธิบำเพ็ญตบะ-ละทิ้งสิ่งของนอกกาย ตัวตนที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับเงินทอง
ไม่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ ไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ไม่เกี่ยวกับวัตถุต่างๆที่ไม่ใช่ตัวตนทางกายภาพ
ตัวตนที่แท้จริงมนุษย์เราแต่ละคนคือรูปร่างหน้าตาและจิตใจที่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยน้ำมือของมนุษย์
แน่นอนว่าทุกคนธรรมชาติล้วนถูกสร้างให้เกิดมาโดยพระเจ้า
คนเราควรขยันหมั่นเพียรทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์และระลึกถึงการขอบคุณต่อพระเจ้าผู้สร้างโลก
พระองค์สร้างชั้นฟ้าอวกาศจักรวาลและสรรพสิ่งต่างๆ ดังนั้นมุสลิมผู้มีเกียรติทุกท่านต้องยำเกรง
และรำลึกถึงพระเจ้าด้วยญาณสำนึกที่ไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์
พระเจ้าพระองค์เดียวภาษาอารบิกอ่านว่า “อัลลอฮฺ” แต่ไม่ว่าจะภาษาใดก็ตามแต่
พระเจ้าก็คือพระเจ้าผู้มีพลังมหาศาลเกินกว่าทุกสรรพสิ่ง
พระองค์มีชีวิตอมตะอยู่วันยันค่ำ พระเจ้าไม่เดินบนพื้นโลก
พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าจินตนาการที่มนุษย์ไม่สามารถทึกทักมโนอุปโลกน์เอง
สัจธรรมที่สูงส่งที่สุดก็คือพระเจ้าที่อยู่เหนือเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกคนก็อย่าหลงผิดและยอมรับสัจธรรมที่แท้จริงที่สุดที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์
พระเจ้าคือผู้ที่ทำให้มวลชีวิตทั้งหลายทั้งปวงบังเกิดขึ้นมาได้

ความสับสนเกี่ยวกับสถานภาพของท่านอิสลามมิรซา
(หรือที่รู้จักในชื่อพี่เจ้าชายโอ๊ค, ท่านพี่โอ๊ค, Prince Oak Oakleyski) เกิดจากการใช้คําเรียกในเชิงเปรียบเทียบและการนําเสนอผ่านสื่อ
โดยทั่วไปแล้วในศาสนาอิสลามไม่มี “ระบบการถือเพศพรต” ระบบนั้นก็คือระบบที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและห้ามมีครอบครัว
หรือระบบตัวกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าแบบในบางศาสนา ระบบนักบวชแบบที่ถือเพศพรตทั่วไปแต่งงานไม่ได้
ส่วนระบบอิสลามสามารถมีผู้นำทางจิตวิญญาณที่เป็นปรมาจารย์นักเทศน์ศาสนาพร่ำสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
โดยภาษาไทยอาจจะเรียกกันให้เข้าใจง่ายๆว่า “นักบวชอิสลาม” (ภาษาอังกฤษคือ
Islamic cleric) ซึ่งเป็นบุคคลที่อุทิศตนเพื่อหนทางแห่งศาสนาของพระเจ้า
หากเรามองโลกอย่างกว้างๆด้วยเชาวน์ปัญญา
เราก็จะรู้ว่าทุกศาสนาที่แท้จริงล้วนมีนักบวชที่แตกต่างกันไป
แน่นอนว่านักบวชอิสลามต่างจากศาสนาอื่นมากที่สุดเป็นพิเศษ
นักบวชในที่นี้หมายถึงผู้นำทางศาสนา ไม่ใช่ในระบบนักบวชทั่วไปที่หมายถึงระบบอารามฯ คนเราต้องแยกแยะประเด็นให้ถูกต้อง
พระเจ้าไม่ได้สั่งให้อิสลามมีนักบวชตามความหมายทั่วไป
(พระเจ้าไม่ได้สั่งให้มีระบบบวชแบบวัดวาอาราม) แต่ในความหมายอิสลามมีคำว่า “บวช” ที่หมายถึงการถือศีลอดและเข้าฌานขัดเกลาจิตใจแบบฉบับอิสลามซึ่งแตกต่างจากศาสนาอื่น
ถ้าหากพวกเราจะอ้างอิงคำว่า “นักบวช” จากโองการอัลกุรอาน (ซูเราะห์ 57 อายะห์ 27) ตัฟซีรนั้นตีความได้ว่าหมายถึงนักบวชส่วนมากที่ฝ่าฝืน
(ท่านนบีอีซามีสาวกกลุ่มใหญ่ที่บวชเกินขอบเขตบัญญัติศาสนา)
ส่วนถ้าจะพูดถึงหะดิษที่ท่านนบีมูฮัมหมัดบอกก็แปลตรงตัวให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า “ไม่มีระบบอารามวาสีในอิสลาม” หรือ “ไม่มีระบบภิกษุสงฆ์ในอิสลาม” แต่หลายคนก็ยังสับสนความหมายของคำว่า “นักบวช” กับ “ภิกษุสงฆ์” ซึ่งในความเป็นจริงเชิงอรรถศาสตร์คำศัพท์คำว่านักบวชไม่ได้แปลว่าพระ
คนที่ผิดคือคนที่เข้าใจผิดเองที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของภาษา
หารู้ไม่ว่าสังกัดการบวชอิสลามในเชิงรหัสยนิยมเป็นความรู้ที่ลึกลับที่ประกอบไปด้วยรากฐานในการบวชในเดือนรอมฎอนอยู่ด้วย
ท่านพี่โอ๊คซัยยิดอามีร์ซายูเรเซียก็เป็นรหัสยิกอิสลามผู้ลึกลับ ดังนั้น
การเรียกท่านพี่โอ๊คว่าเป็นนักบวชอิสลาม
เป็นการใช้คําเรียกตามความเข้าใจของบุคคลหรือสื่อ เพื่อระบุถึงสถานะปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาและผู้นําจิตวิญญาณ
แต่ตามหลักการศาสนศาสตร์อิสลามและกฎหมายไทย เขาไม่ใช่ "นักบวช" ในความหมายของการละทิ้งชีวิตฆราวาส

ทําไม
"ท่านพี่โอ๊ค"
หรือ "ท่านอิสลามมีร์ซา" ถึงถูกเรียกว่านักบวช? การใช้คําเรียก (Term): ในสื่อต่างๆมีการใช้คําว่า "นักบวชอิสลาม"
(Islamic Cleric) หรือ
"มุลลอฮ์"
(Mullah) เพื่อสื่อถึงสถานะผู้ทรงความรู้ทางจิตวิญญาณ.
ตัวตนและการนําเสนอ: ท่านอิสลามมีร์ซา หรือ ท่านพี่โอ๊ค
ถูกนําเสนอในฐานะผู้นําทางจิตวิญญาณ (Spiritual
Leader) สายซุนนีซูฟี (Sunni-Sufi)
และผู้สืบเชื้อสายทางสายเลือดของศาสดามูฮัมหมัด การใช้คําว่า "นักบวช"
ในที่นี้จึงมักเป็นการแปล
ความหมายเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายว่าเขาเป็น
"ผู้เข้ารับอิสลามอย่างสมบูรณ์แล้วได้สถาปนาองค์กรทางศาสนา” และเป็น
“ปรมาจารย์ผู้สอนศาสนา" ในเชิงจิตวิญญาณ ไม่ใช่การบวชแบบเข้าพิธีกรรมตัดทางโลก
ฉะนั้นถ้าผู้ใดจะพูดถึงนักบวชของอิสลามก็ต้องแยะแยะให้ออกว่าแนวคิดหรืออุดมคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับนักบวชในศาสนาอิสลามนี้คำว่านักบวชหมายถึงปรมาจารย์ผู้นำทางศาสนา/ผู้นำทางจิตวิญญาณ
ซึ่งมีอุดมการณ์คือการเผยแผ่ศาสนากับเผยแพร่สัจธรรมของพระเจ้า
นี่แหละเป้าหมายที่แท้จริงของนักบวชอิสลาม ก็บวชในแบบฉบับอิสลามเพื่อพระเจ้าองค์เดียว
เป็นเรื่องดีที่ท่านพี่โอ๊คมีวิชาชีพที่หลากหลาย นอกจากบทบาททางผู้นำทางศาสนา
เขายังเป็นผู้อํานวยการสร้างหนังสือตำรา
รวมถึงเป็นอาจารย์สอนอากีดะห์อิสลามกับภาษาอังกฤษด้วย ในหลักธรรมทางศาสนาอิสลาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่อิหม่ามอัล-กาซาลีได้กล่าวไว้ มีการบวชถือศีลอด (ซอว์ม
หรือ ศิยาม) สามระดับ ระดับสูงสุดที่ผู้ศรัทธาสามารถบรรลุได้คือ ซอว์ม คุซุส
อัล-คุซุส (การถือศีลอดของสุดยอดแห่งสุดยอด)
ในขณะที่การถือศ๊ลอดทั่วไปเน้นการงดเว้นทางกายภาพ ระดับสูงสุดนี้คือ "การถือศีลอดแห่งหัวใจ" ทั้งสามระดับมีนิยามดังนี้; การถือศีลอดธรรมดา (ซอว์ม
อัล-อุมุม): ระดับพื้นฐานที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ
เกี่ยวข้องกับการงดเว้นจากอาหาร เครื่องดื่ม
และการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงพลบค่ำ. การถือศีลอดพิเศษ (ซอว์ม
อัล-คุซุส): "การถือศีลอดของผู้ทรงคุณธรรม" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระมัดระวังประสาทสัมผัสทั้งหมด
ได้แก่ ตา หู ลิ้น มือ และเท้า จากการกระทำบาปหรือการละเมิดใดๆ.
การถือศีลอดพิเศษยิ่งกว่า (ซอว์ม คุซุส อัล-คุซุส):
ระดับสูงสุดที่อยู่ในวิถีการบวชอิสลามอย่างแท้จริง
ที่ผู้ศรัทธาถือศีลอดด้วยหัวใจทั้งหมดของตน สิ่งนี้ประกอบด้วย:การอุทิศตนอย่างสมบูรณ์:
การละทิ้งความกังวลทางโลกและความคิดทางโลกทั้งหมด เพื่อมุ่งเน้นไปที่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว.
ความสงบทางจิตวิญญาณ:
การรักษาสภาวะที่ไม่มีความคิดอื่นใดนอกจากพระเจ้าเข้ามาในจิตใจ.
ความผูกพันกับพระเจ้า: การถือศีลอดจะถือว่า "ขาด" ในระดับนี้ หากหัวใจหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮฺหรือโลกหน้า
รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการละศีลอดเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน.
ระดับสูงสุดนี้เป็นความปรารถนาของผู้ที่แสวงหาการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณขั้นสูงสุด
ซึ่งตามประเพณีแล้วมักเกี่ยวข้องกับศาสดา นักบุญหรือนักบวชอิสลามที่แท้จริง
ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด (มุการ์รอบิน)
การปฏิบัติที่เกี่ยวกับการบวชอิสลามอย่างลึกซึ้งก็มีแง่มุมที่เรียกว่า "มิติภายในของการบวชถือศีลอด" โลกมิติทางจิตวิญญาณนักบวชอิสลามที่มีข้อกำหนดของแต่ละระดับ
นักบวชก็สามารถเลื่อนขั้นตามความสามารถของตนที่พระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์

นักบวชอิสลามคือมุสลิมที่เป็นอุละมาอ์เช่นท่านพี่โอ๊ค-ท่านอิสลามมีร์ซาคืออิหม่าม/อิมามนอกมัสยิด
ท่านอิสลามมีร์ซาคือผู้ทรงภูมิขั้นมีรฺ-อาลิมอุลามะซุนนีซูฟีที่บรรลุการบวชอิสลามอย่างลึกซึ้ง
ไม่ใช่แค่ถือศีลอดอาหารเฉยๆ (ถ้าอดอาหารอย่างเดียวแต่ไม่ซิเกรขัดเกลาจิตใจภายในสู่ภายนอกก็ไม่ควรเรียกว่าบวช)
อย่างไรก็ดี มุสลิมทุกท่านอาจเรียกการถือศีลอดอาหารว่า “บวช” การใช้คำศัพท์ไม่มีความลึกลับซับซ้อน
แต่ความหมายที่มากกว่าผิวเผินลึกๆแล้วคำว่า “นักบวช” อิสลามไว้เรียกเฉพาะอุลามาอฺหรือมุสลิมชั้นสูง ยกตัวอย่าง
ท่านอิสลามมีร์ซาก็คือนักบวชอิสลามซุนนีซูฟีชั้นสูงที่ได้สัมฤทธิ์การตะเซาวุฟลุล่วงเรียบร้อยแล้ว
(บรรลุฌานมารีฟัตกับฮากีกอต) และสามารถตัดสินข้อเท็จจริงต่างๆด้วยกฎหมายอิสลาม
(สามารถฮุก่มและวินิจฉัยข้อสรุปฟัตวาโดยพึ่งฐานชารีอะห์กับฟิกฮฺคัดกรอง)
อะไรที่มุสลิมสามารถกระทำได้ก็คือสิ่งที่ฮาลาลซึ่งไม่ฮารามและไม่มักโระห์
การตรัสรู้แบบฉบับอิสลามเพื่อเข้าถึงญาณบรรลุฌาน “ฮากีกัต” ระดับสูงที่มีประกายรัศมีเปล่งแสงสว่างดั่งโหวงเฮ้งหน้าผากกว้างสวยสง่างามหลอมรวมกับฌานขั้นสุดท้าย “มารีฟัต” หรือมะอฺรีฟะฮ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาทิ การที่ท่านอิสลามมีร์ซาถูกพระเจ้ากำหนดมาให้มีหน้าตาหล่อเหลาธรรมชาติ
โครงหน้าสมดุลแกนสมมาตรแบบท่านศาสดามูฮัมหมัด ไม่ศัลยกรรม
มีหน้าตาเป็นอาวุธรูปธรรมกายภาพภายนอกสู่ภายใน
ท่านอิสลามมีร์ซาทราบซึ้งในบุญคุณอันใหญ่หลวงที่พระเจ้าให้มาซึ่งความวิเศษในอิสลาม
จึงได้สถาปนาคำบัญญัติอาเทศโดยใช้ชื่อทางศาสนา ศาสนนามตัวตน “ท่านพี่โอ๊ค ยูเรเซีย” หรือ “Prince of Eurasia” คือสิ่งวิเศษ
ไม่ใช่นามบุคคลธรรมดา
แต่เป็นซูฟีตอรีกัตที่ถูกกำเนิดขึ้นมาระหว่างช่วงการบรรลุธรรมขั้นสูงของท่านอิสลามมีร์ซา
ยูเรเชีย ซึ่งได้รับพรจากพระเจ้า พระเจ้าให้ท่านอิสลามมีร์ซาเป็นบ่าวของพระองค์เพื่อเผยแผ่ศาสนาและเผยแพร่สัจธรรม
ซึ่งพระองค์ก็กำหนดกอฎอ-กอดัรไว้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านอิสลามมีร์ซาบรรลุญาณด้วยซ้ำ
ก่อนที่ Mystic Emperor Oakley Papa
Islammirza ประสูติขึ้น นักบวชอิสลามทุกท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือหน้าตากับผิวพรรณดีมีนูรสง่าราศีสว่างไสวที่คนปกติไม่มีหรืออาจมองไม่เห็นออร่าของมุลลาฮ์

มันไม่ใช่เรื่องที่จะหาข้อมูลกันได้ง่ายๆถ้าหากจะพรรณนาถึงชีวประวัติอดีตกาลของท่านอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย นักบวชอิสลามผู้ลึกลับ ท่านอาจารย์อิสลามมีร์ซาได้ผ่านพ้นการต่อสู้กับสิ่งลี้ลับที่เรียกว่า “กอรีน” (Qareen/doppelganger) ซึ่งมันเป็นร่างเงาของเจ้าตัว ท่านพี่โอ๊คได้ทำการฟันฝ่าอุปสรรคที่กอรีนด้านมืดที่ถูกซาตานยั่วยุให้กระทำอะไรบางอย่างที่ผิดศีลธรรมเช่นการเที่ยวสถานที่อโคจร ในอดีตท่านพี่โอ๊คเคยเที่ยวไนท์คลับผับบาร์สมัยที่ยังไม่ได้บรรลุการบวชอิสลาม ช่วงแรกที่ท่านพี่โอ๊คเริ่มผันตัวเป็นนักบวชอิสลามช่วงที่อายุเพิ่งเข้าหลักสามสิบนั้นก็ได้ถูกบันทึกไว้ในไฟล์สารคดี มีญินแห่งความเย้ายวนใจทำให้ท่านซัยยิดพี่โอ๊คเคยออกนอกลู่นอกทางมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับหลงทาง เนื่องจากธรรมชาติท่านพี่โอ๊คมีความเป็นนักบวชอยู่ในตัวตั้งแต่เด็ก ซึ่งได้รับพรวิเศษจากพระเจ้าให้ท่านอิสลามมีร์ซารู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองว่าเกิดมาเพื่อเป็นนักบุญอิสลามแท้ซึ่งเป็นบ่าวของพระองค์อัลลอฮฺ ทั้งๆที่ท่านพี่โอ๊คเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ใช่มุสลิม แต่พระเจ้าก็ให้แสงสว่างที่เป็นทางนำสู่ศาสนาที่แท้จริงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกและจักรวาล ภูมิหลังท่านพี่โอ๊คจบปริญญาด้านศิลปศาสตร์กับวุฒิบัตรด้านศาสนาตอนช่วงอายุยี่สิบต้นๆท่านพี่โอ๊คก็เข้ารับอิสลามอย่างเต็มตัวแล้วใช้เวลาอีกหลายปีในการศึกษาอัลกุรอานด้วยตนเอง หลังจากนั้นเรื่องทางโลกมายาค่อยๆถูกละทิ้งแล้วเข้าสู่โลกสัจธรรมแห่งการเข้าฌานอิสลาม นักพรตซูฟีเรามักจะกล่าวถึงซีร์
(Sirr) ซึ่งเป็นส่วนลึกที่สุดของหัวใจที่การเปิดเผยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับวะฮีย์จากพระเจ้า มิฉะนั้นแล้วใจเราอาจจะมีกำแพงกั้นที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ แต่ถ้าหากได้รับวะฮีย์วิเศษลึกลับแล้วเราก็จะสามารถแยกนัฟส์และกอลบ์ออกจากกัน เพื่อที่ความบริสุทธิ์ของหัวใจจะไม่ถูกคุกคามโดยความโน้มเอียงด้านลบที่ต่ำลง ศูนย์กลางทางจิตวิญญาณเหล่านี้ล้วนมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ส่วนของจิตใจที่สามารถมองได้ว่าดำรงอยู่บนความต่อเนื่องและมีความสามารถในการทำงานในทุกระดับ เรียกว่า "นัฟส์" (ตัวตนหรืออัตตา) ในระดับต่ำสุด ตัวตนหมายถึงลักษณะนิสัยและความโน้มเอียงที่ไม่พึงปรารถนาของเรา ซึ่งถูกควบคุมโดยความรู้สึก ความปรารถนา และความพอใจในความปรารถนาเหล่านั้น อัลกุรอานได้ระบุไว้แบบอ้อมๆเกี่ยวกับ 7 ระดับนัฟส์ การดำเนินการผ่านขั้นตอนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการเติบโต ได้แก่ ตัวตนที่กดขี่ ตัวตนที่เสียใจ/กล่าวโทษตนเอง ตัวตนที่ได้รับแรงบันดาลใจ ตัวตนที่สงบ ตัวตนที่พอใจ ตัวตนที่พอใจ และตัวตนที่บริสุทธิ์
หัวใจทางจิตวิญญาณหรือกอลบ์ ถูกเรียกว่าหัวใจ มากกว่าที่จะเรียกว่าอวัยวะที่แท้จริง ปัญญาและความเข้าใจอันลึกซึ้งยิ่งพบได้ในหัวใจแห่งจิตวิญญาณนี้ ญาณวิทยาและความรู้ทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้งพบได้ที่นั่น พร้อมกับประกายแห่งจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ วัตถุประสงค์ของปรัชญาซูฟีคือการปลูกฝังจิตใจที่ซื่อสัตย์ มีความรัก และเมตตา รวมถึงสติปัญญาของหัวใจ ซึ่งลึกซึ้งและหยั่งรากลึกยิ่งกว่าปัญญาเชิงตรรกะและนามธรรมของจิตใจ หัวใจแห่งจิตวิญญาณชำระล้างด้านลบของบุคลิกภาพ และหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณด้วยปัญญาและแสงสว่างทางจิตวิญญาณ เฉกเช่นหัวใจที่หล่อเลี้ยงร่างกายด้วยเลือด
ความรู้สึกต่างๆ ล้วนเกิดจากนัฟส์ หรือตัวตน มากกว่าหัวใจ นาฟส์และจิตวิญญาณถูกสื่อกลางโดยกัลบ์ หน้าที่ของมันคือการนำทางมนุษย์ไปสู่จิตวิญญาณและปราบปรามนัฟส์ แม้ว่าเราจะไม่ตระหนักถึงมัน แต่รูห์แห่งจิตวิญญาณก็มีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้า
คำว่า ซีรฺ “Sirr” หมายถึง ความลับอันลึกซึ้งของพระเจ้า
หรือจิตสำนึกอันลึกซึ้งภายในจิตใจมนุษย์
ความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งความลึกลับอันลึกซึ้งและไม่อาจพรรณนาของพระเจ้าถูกเปิดเผยเหนือสติปัญญา
สัมผัสได้ในฐานะความรู้ทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง การสถิตอยู่ของพระเจ้า และการผนวกเข้ากับความจริง
เข้าถึงได้ผ่านการชำระล้างอย่างเข้มข้น (เช่น การทำสมาธิแบบมุรากอบะฮ์)
และเป็นตัวแทนของความใกล้ชิดสูงสุดกับพระเจ้า ถือเป็นสภาวะทางจิตวิญญาณขั้นสูงสุด
แตกต่างจากจิตใจหรืออารมณ์
ช่วยให้ผู้แสวงหาสามารถสัมผัสถึงคุณลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์และตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวที่แฝงอยู่ภายใน
แง่มุมสำคัญของ ซีร มีดังนี้; 1. ความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์:
ความสามารถทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง เปรียบเสมือนเงินฝากอันศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจ
เก็บรักษาความจริงอันลึกซึ้ง. 2. วิหารศักดิ์สิทธิ์:
จุดที่ลึกที่สุดของหัวใจที่วิญญาณเชื่อมต่อกับสิ่งไร้ขอบเขต
เหนือการรับรู้และภาษาธรรมดา. 3. คณะจิตวิญญาณ: ส่วนหนึ่งของ
Lata'if (ศูนย์กลางอันละเอียดอ่อน) ในจักรวาลวิทยาของซูฟีฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศูนย์กลางทั้งห้าจาก "โลกแห่งการบังคับบัญชา" (อาลัม
อัล-อัมร์ / Alam al-Amr). 4. ประสบการณ์แห่งเอกภาพ:
ในระดับนี้ ผู้แสวงหาจะสัมผัสได้ถึงการตระหนักรู้ในตนเองอันมีความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
เราอาจเห็นนามของพระองค์สะท้อนล้อมเหนือตัวเราหรือบนฟากฟ้า สลายความต่างระหว่างโลกแห่งมายากับโลกแห่งจิตวิญญาณ.
5. เหนือสติปัญญา:
ความรู้ที่ได้รับจากที่นี้เกิดจากสัญชาตญาณและประสบการณ์-วัจด์
(Wajd) ไม่ใช่แค่สติปัญญา
มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความสงบนิ่งหรือซิเกร (การรำลึก). 6. ความลับ: ซิร์ถูกเก็บเป็นความลับ ไม่ใช่เพื่อตัดออก
แต่เนื่องจากการเปิดเผยนี้ต้องการความพร้อมทางจิตวิญญาณอย่างมหาศาล
เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้และเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นการเปิดเผยส่วนตัว. วิธีการเข้าถึงและผลลัพธ์ความสำเร็จ ได้แก่ การชำระล้าง: ผ่านการตรวจสอบตนเองอย่างเข้มงวดไม่ขาดตอน การขัดเกลาทางจริยธรรมอย่างสม่ำเสมอ
และการละทิ้งอัตตา; การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ: การทำสมาธิ-มุระก็อบะห์ (Muraqabah)
การซิกรจากเสียงสู่เสียงเงียบ และการแสวงหาความใกล้ชิดกับปรมาจารย์อิสลาม; ของขวัญจากพระเจ้า: ท้ายที่สุดแล้ว การตื่นรู้นี้เป็นของขวัญจากพระเจ้า พระองค์กำหนดให้หัวใจเป็นกระจกเงาที่ขัดเงา
ปราศจากความยึดติดทางโลก; ความสำคัญ: ช่วยให้สามารถติดต่อกับแก่นแท้ของพระเจ้าได้โดยตรงและโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง
นำไปสู่ความเข้าใจทางจิตวิญญาณขั้นสูงสุด นำไปสู่การมองเห็นสัจธรรมแห่งความแน่นอน
(ฮัก อัล-ยะกีน / Haqq al-Yaqeen) เป็นแหล่งกำเนิดของปัญญาทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง
นำไปสู่สภาวะแห่งการสถิตอยู่ของจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป

ประเด็นอิสลามที่น่าสนใจอีกหัวข้ออย่าง
"ฮุกุ่ม 5" หรือ "Ahkam al-Khamsah” ซึ่งเป็น กฎ 5 ประการตามหลักศาสนาอิสลาม ที่แบ่งประเภทของกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) ที่มีต่อการกระทำของมุสลิม
ออกเป็น 5 ประเภท จำแนกอย่างละเอียดเป็นข้อย่อย ได้แก่ ข้อแรก: วุญูบ/วาญิบ
(wajib) คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เช่น การดำรงไว้ซึ่งการละหมาดห้าเวลาในแต่ละวัน-ทุกวันอย่างตลอดชีพ
และการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน. ข้อสอง: อิสติฮ์บาบ/มุสตะฮับ (mustahabb)
คือสิ่งที่แนะนำให้ทำ แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ แต่ถ้าทำก็จะได้รับผลบุญ
เช่น การถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัสที่ไม่ใช่ในเดือนรอมฎอน. ข้อสาม:
หุรมัต/ฮาราม (haram) คือสิ่งที่ต้องห้ามทำ เช่น การดื่มสุรา
และการบริโภคสิ่งมึนเมาอื่นๆ. ข้อสี่: กะรอฮัต/มักโระห์ (makruh)
คือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเผลอทำก็ไม่บาป เช่น
การกินกระเทียมซึ่งทำให้มีกลิ่นปากแรงก่อนเข้ามัสยิด
และการใส่เสื้อสีแดงล้วนหรือสีแสดแซฟฟรอน. ข้อห้า: อิบาฮะห์/มูบาห์ (mubah)
คือสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้ เช่น
กระบวนการค้นคว้าวิจัยและผลิตนวัตกรรมใหม่ๆที่ทันสมัย
การใช้ภาพยนตร์สารคดีเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ลงรอยกับโลกยุคดิจิทัลปัจจุบันเพื่อการศึกษา
การบุกเบิกก่อตั้งปรัชญาทางโลกสู่ทางธรรมที่ไม่ใช่อุตริกรรม
และการเล่นต่างๆเพื่อความสุขสำราญเพลิดเพลินใจหรือการเล่นเกมสนุกสนานที่ไม่เข้าข่ายบาป
และมุมมองไลฟ์สไตล์อย่างเช่นวัฒนธรรมแต่ละเชื้อชาติ
และขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องศาสนา อีกทั้งยังรวมไปถึงการใช้เครื่องมือสื่อสารสนเทศหรือเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
การเล่นกีฬาซ้อมออกกำลังกายกับการทำสมาธิที่ไม่ใช่ศาสนพิธี
หรือเรื่องอื่นใดก็ตามที่โองการศาสนาไม่ได้ครอบคลุมหรือสั่งบังคับไว้ เป็นต้น


ในเรื่องรหัสยนิยมอิสลาม รหัสยิก (Islamic Mystic) คือผู้ที่เข้าถึงภาวะรหัสยภาวะนั้นได้. รหัสยนิยมในอิสลามคือชื่อไทยของซูฟียฺ คือใจกลางทางจิต
วิญญาณของอิสลาม มุ่งเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า
โดยใช้หลักการจากอัลกุรอานและแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด
แต่เน้นที่การเข้าถึงภายใน (Inner Dimension). แนวปฏิบัติหลักของซูฟี (รหัสยิกอิสลาม) มีดังนี้: การรําลึกถึงพระเจ้า (Dhikr): การท่องจําพระนามซ้ําๆ เพื่อให้จิตใจจดจ่ออยู่กับพระองค์; การเข้าฌาน (Muraqaba):
การทําสมาธิภาวนา เพื่อทําความเข้าใจความหมายทางจิตวิญญาณ; การขัดเกลาตนเอง:
การลดละอัตตาและคุณลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อความรักต่อพระเจ้า (Mahabba) ความรักอันบริสุทธิ์ต่อพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด รหัสยนิยมในอิสลามเป็นเส้นทางสู่การเข้าถึงความรักและความใกล้ชิดความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า
ผ่านการฝึกฝนจิตวิญญาณอย่างเข้มข้น โดยมีรหัสยิกมุสลิมผู้เดินทางบนเส้นทางนี้
ซึ่งรหัสยนิยม (Mysticism) ในศาสนาอิสลาม คือ แนวปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง
เพื่อเข้าถึงความจริงสูงสุดของพระเจ้า โดยผ่านประสบการณ์ตรงและญาณทัศน์ทางจิตใจ
ไม่ใช่แค่ความรู้ทางปัญญา ผู้รู้ที่มีปรีชาญาณขั้นรหัสยิกสามารถเข้าถึงคําอธิบายโดยละเอียดรหัสยนิยมโดยทั่วไปหมายถึงความเชื่อที่ว่ามีความจริงหรือคุณค่าที่ลึกซึ้งเกินกว่าการรับรู้ปกติ
ซึ่งต้องอาศัยความสามารถพิเศษหรือการเข้าถึงสภาวะวิเศษ เช่น กรณีที่ท่านพี่โอ๊คได้เปลี่ยนมาเข้าศาสนาอิสลามแล้วได้รับชื่อลึกลับจากพระเจ้า
ให้มีชื่อจริงเป็นแก่นแท้จิตวิญญาณนักบุญ
ชื่อท่านอิสลามมีร์ซาก็มาจากศาสนนามเจ้าชายแห่งยูเรเซียบวชอิสลาม
กลายเป็นปรมาจารย์ศาสนาที่สามารถเทศน์สอนได้หลายศาสนากับภาษาสากลอีกด้วย
ท่านอิสลามมีร์ซาก็คือนักบวชอิสลามที่เป็นนักบุญอุทิศตนเพื่อพระเจ้า หลายคนงงกันไม่น้อยว่าในศาสนาอิสลามมีนักร้องหรือนักดนตรีไหม
แน่นอนว่า "นักร้อง" ในความหมายเพลงตลาดหรือตามกระแสทั่วไปนั้นมีความขัดแย้งกับหลักศาสนา แต่ชุมชนมุสลิมเราก็ยังมีคำว่า
“นักร้องอิสลาม” ที่แปลว่า “ผู้เชี่ยวชาญการร้องเพลงอิสลาม” หรือ “ผู้สันทัดการร้องเพลงที่นับถือศาสนาอิสลาม” ทั้งๆที่พระเจ้าและท่านศาสดาก็ไม่ได้สั่งให้ทำ
แต่ถ้าถามว่าทำได้ไหม
ก็ต้องตอบว่าทำได้หากเนื้อเพลงและบุคลิกภาพของนักร้องไม่ขัดต่อกฎหมายอิสลาม
คราวนี้เราลองมาวิเคราะห์อีกประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนสูงกว่ากันดูว่า
แล้วอิสลามมีนักบุญไหม ถ้าตอบตามหลักการศาสนาโดยตรง ก็สามารถตอบได้ว่ามี
อิสลามมีนักบุญที่เรียกว่า “เอาลิยาอ์” (Awliya) หรือในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Islamic Saint ส่วนในภาษาอารบิกก็ชัดเจนว่า
คำว่าเอาว์ลิยาอ์นั้นถูกกล่าวถึงไว้ในอัลกุรอาน นอกจากนี้ในทำนองเดียวกันก็มีประเด็นที่อาจเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่มุสลิม
หัวข้อที่ว่าตกลงแล้วอิสลามมีนักบวชหรือไม่ คำถามนี้ตอบยากสุด
แต่ก็อย่างที่ท่านอิสลามมีร์ซาได้เทศน์สอนไว้
ฮุก่มฟัตวาไว้ว่าแท้จริงแล้วศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีนักบวชอิสลามได้แต่ต้องไม่เหมือนนักบวชในศาสนาอื่น
ตามวัฒนธรรมมุสลิมสากลโลกก็เป็นที่รู้กันดีว่า คำเรียกที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า
“นักบวช” ที่สุดคือคำว่า “มุลลา” หรือ “เมาลานา” ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า “มอว์ลา” ในภาษาอารบิกแถวโซนอาหรับ
ในเปอร์เซียและดินแดนมุสลิมหลายๆที่ภาษาแขนงนี้ถูกแปรผันเป็น “มุลลอห์” (Mullah) หรือบางที่ก็เรียกว่า “มุลลาวี” หรือ “เมาลาวี” (Maulavi) แต่ก็ควรตระหนักไว้อย่างหนึ่งว่า “นักบวช” คือคำเรียกขานปรมาจารย์ศาสนา
ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
แต่ในอิสลามมีข้อห้ามที่จำกัดไว้คือห้ามมีระบบอาราม ระบบอารามคือแบบภิกษุที่ละทิ้งทางโลกโดยสิ้นเชิง
ที่สำคัญอิสลามห้ามตั้งใครหรือสิ่งใดเป็นสื่อกลางความศักดิ์สิทธิ์เพื่อติดต่อกับพระเจ้า
มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการเข้าข่ายบูชาตัวกลางซึ่งผิดกฎศาสนาอย่างยิ่ง
เพราะที่ถูกต้องคืออิสลามให้มุสลิมบูชาพระเจ้าโดยตรงไม่ผ่านตัวกลาง
ถ้าอิสลามมีนักบวชแบบที่ไม่ใช่พระหรือบาทหลวง
ก็ปรับความเข้าใจดูว่าอิสลามมีนักบุญไหม
ตามหลักสากลภาษาอังกฤษใครๆก็เรียกผู้อุทิศตนเป็นผู้นําทางศาสนาอิสลามของพระเจ้าว่า "Islamic cleric" (แปลตรงตัวว่า "นักบวชอิสลาม") ส่วนถ้าสากลแบบอารบิกจะไม่มีคําแปลตรงตัวแต่จะเข้าใจเป็นนัยว่า "رجل دين إسلامي" (เราะญลุดดีนอิสลามมีน) ถ้าเอาคำอาหรับมาแปลตรงตัวเป็นคำไทยแบบทื่อๆก็แปลว่า “คนของศาสนาอิสลาม” ซึ่งมันจะไม่มีความหมายในเชิงวิชาชีพหากแปลเป็นไทย
ดังนั้นก็ต้องเข้าใจภาษาไทยให้ถูกก่อน คําว่า "นัก" กับ คําว่า "บวช" หรือจะประสมเป็น "นักบวช" เป็นเรื่องภาษาทางโลก
ไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมศาสนา แน่นอนว่าไม่ใช่บิดอะห์แต่อย่างใด ถ้าคิดว่า "นักบวชอิสลาม" คือบิดอะห์
อย่างงี้คําว่า "นักร้องเพลงอิสลาม" (อนาชีด) ก็บิดอะห์ด้วยสิครับเพราะพระเจ้าและศาสดาไม่ได้สั่ง ซึ่งถึงแม้บางเรื่องพวกเราไม่ได้ถูกสั่งใช้
แต่เราก็สามารถทำอะไรก็ได้ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ขัดต่อกุรอานและหะดิษ อิสลามไม่มีพระ
ส่วนถ้าจะมีนักบวชมีได้แต่ต้องบวชในแบบอิสลาม ไม่ใช่บวชแบบศาสนาอื่น
ถ้าจะอิงศาสนาจากหะดิษที่นบีฯได้บอกไว้คือห้ามมีระบบอาราม (ภิกษุ)
แต่ไม่ได้หมายความว่าห้ามมี "นักบวช" ที่แปลว่าผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระเจ้า
ความหมายโดยนัยของนักบวชสามารถแปลว่าปรมาจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการ "บวชอิสลาม" ก่อนอื่นต้องนิยามความหมายให้ถูกก่อน
นักบวชไม่ได้แปลว่าพระหรือบาทหลวงเสมอไป
ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ทั่วโลกเข้าใจว่านักบวชอิสลามคืออิหม่ามซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งแต่มีมากกว่านั้น
"บวช" คือการ "ออกจากโลกีย์ที่มีกิเลส” ส่วน "นักบวช" คือ "ผู้ที่ออกไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์หรือความใกล้ชิดพระเจ้า" โดยมีหัวใจสําคัญคือการละทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมเพื่อจุดมุ่งหมายทางจิตวิญญาณ
ในประวัติศาสตร์แล้วต้นตอของคําว่าบวชมีรากฐานมาจากอินเดียโบราณก่อนสมัยพุทธกาล
มีกลุ่มคนที่เรียกว่า "นักพรต" ที่เบื่อหน่ายทางโลกและออกไปอยู่ป่าเพื่อฝึกจิต แล้ว "นักบวช" จริงๆแล้วก็มีความหมายคล้ายๆกับนักพรต
หมายถึงผู้ที่สละความเป็นสามัญชนทั่วไป เพื่อเข้าสู่ชีวิตแห่งการปฏิบัติธรรมของแต่ละศาสนา
นักบวชมักจะมีการถือศีลที่เคร่งครัดกว่าคนทั่วไป มีระเบียบวินัยเฉพาะตัว และมักจะมีการแต่งกายที่แตกต่างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการสละกิเลส
ความหมายโดยนัยก็คือผู้ที่อุทิศตนทางจิตวิญญาณของพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นการขัดเกลาตนเอง หรือการทําหน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
คําว่า "ฌาน" (อ่านว่า ชาน) เป็นคําที่รับมาจากภาษา บาลีว่า "ฌาน"
(Jhāna) และภาษาสันสกฤตว่า "ธยาน"
(Dhyāna) ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งดังนี้: คําว่า ฌาน มีรากศัพท์ที่แปลได้ 2 ความหมายหลัก ในทางปฏิบัติ: แปลว่า "การเพ่ง": หมายถึง การที่จิตใจจดจ่อ (Focus) อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว (เช่น ลมหายใจ หรือคําบริกรรม)
อย่างแน่วแน่จนไม่ วอกแวก หรือแปลว่า "การเผา": หมายถึง สภาวะที่จิตใจมีความ เข้มแข็งจนสามารถ "เผากิเลส" หรือนิวรณ์ (สิ่งที่ กั้นจิตไม่ให้สงบ เช่น ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ความ
โลภ) ให้มอดไหม้ไปชั่วคราว ระดับของฌาน (แบบย่อ) ในระบบการฝึก
มักแบ่งฌานออกเป็นระดับ เรียกว่า รูปฌาน เพื่อบอกความละเอียดของจิต: ฌานขั้นธรรมดาคือการที่ยังมีความคิดพิจารณาอยู่บ้าง
แต่มี ความสุขและอิ่มเอิบมาก ส่วนฌานขั้นสูงคือการที่ความคิดและความสุขแบบโลกๆหายไป
เหลือเพียง "จิตที่นิ่งสนิทและวางเฉยอย่างที่สุด" เหมือนผิวน้ําที่ไม่มีรอยคลื่นเลย
ไม่วอกแวกเพื่อให้จิตได้เชื่อมต่อใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น แล้วฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไรที่หลายคนมักใช้สลับกัน
แต่ถ้าจะแยกให้ชัดคือ: สมาธิคือความตั้งใจมั่น (เป็นเครื่องมือ) เราฝึก
สมาธิเพื่อให้เกิด "ฌาน" ส่วนฌานคือ "ผลลัพธ์" หรือระดับความลึกของสมาธิ ที่เข้าถึงขั้นแน่นแฟ้นแล้ว (Fixed Concentration)
การละทิ้งสิ่งของนอกกายหรือการสละความหลงใหล
ในโลกดุนยา ในภาษาอาหรับใช้คําที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงตามระดับของการปฏิบัติ
ดังนี้: 1. ซุฮุด (Zuhd) คํานี้เป็นคําที่ตรงและนิยมใช้ที่สุด หมายถึง "ความ สมถะ" หรือ "การสละโลก"; การละวางความยึดติดในทรัพย์สินและกิเลสทางโลกจาก "หัวใจ" โดยมุ่งเน้นความพึงพอพระทัยของพระเจ้า เพื่อโลกหน้า (อาคีเราะฮ์) เป็นหลัก. ลักษณะ: ไม่ได้หมายความว่าต้องยากจน แต่
หมายถึงการที่ทรัพย์สินเหล่านั้นไม่สามารถครอบ ครองหรือบงการจิตใจได้. 2. ตัรกุ๊ดดุนยา (Turk-e-Dunya / Tark al-Dunya) คํานี้มีความหมายตรงตัวว่า "การละทิ้งโลก"; การสละความละโมบและการยึดติดในความสุขสําราญของโลกนี้
เพื่อทุ่มเทให้กับการทําความดีและการภักดีต่อพระเจ้า คํานิยามของผู้รู้ก็มีเช่น “การละทิ้งสิ่งดึงดูดใจที่ทําให้เราลืมการรําลึกถึงพระเจ้า”. 3. อินติกอออฺ (Inqita') หมายถึง "การตัดขาด”; การตัดใจจากสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า
มักใช้ในบริบทของการปลีกวิเวกเพื่อทําสมาธิหรือการอิบาดะฮ์ที่เข้มข้นขึ้น
โดยตัดความกังวลจากภาระทางโลกชั่วคราว. 4. ตาก็อซซุฟ (Taqashshuf) หมายถึง "ความประหยัดมัธยัสถ์" หรือ "การใช้ ชีวิตอย่างสมถะ"; การเลือกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่สุด หลีกเลี่ยงความหรูหราฟุ่มเฟือย

การ “บำเพ็ญตบะ” มีความหมายในเชิงสภาวะจิตในเชิงเปรียบเทียบกับอิสลาม เกี่ยวกับ "มุญาฮะดะตุล นัฟส์" (การ ต่อสู้กับอารมณ์ตนเอง) ในอิสลาม;
การบําเพ็ญตบะในอิสลามคือ "การใช้ความเพียร เพื่อชนะใจตนเอง" เพื่อให้ความรักในพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าความต้องการของร่างกาย อิสลามไม่เน้น "ความร้อน" จากการทรมานตัว แต่เน้น "ความหนักแน่น" ในการทําหน้าที่ตามที่พระเจ้าสั่ง แม้ร่างกายจะขี้เกียจหรือลําบากก็ตาม สรุปการเทียบเคียงกับภาษาอื่น บําเพ็ญตบะ จริงๆแล้วคือ "การฝึกตนเองด้วย
ความอดทนและเพียรพยายามอย่างหนัก เพื่อ ทําลายอํานาจของกิเลส
หรือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง" มีริยาดะฮ์ (Riyadah) ในภาษาอาหรับปัจจุบันแปลว่า กีฬา แต่ในทางจิตวิญญาณ
(โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รู้ทางจิตตภาวนา) แปลว่าการฝึกฝน หรือ การดัดนิสัย ก็หมายถึงการฝึกจิตให้มีความอดทน เช่น การฝึกละหมาดตะฮัจญุด (ตอนกลางคืน), การถือศีลอดบ่อยๆ หรือการซิกรุลลอฮ์
(รําลึกถึงพระเจ้า) อย่างต่อเนื่อง เพื่อดัดนิสัยที่ดื้อรั้นของมนุษย์ และต้องมีตัซกิยะตุลนัฟส์
(Tazkiyat al-Naf) แปลว่าการชําระจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็นเป้าหมายสูงสุดของการบําเพ็ญใน อิสลาม คือการกําจัดโรคทางใจ (เช่น
การโอ้อวด การอิจฉา) ให้หมดไป เพื่อมีความ Zuhd (สมถะแบบอิสลาม): ละทิ้งความยึดติด ภายในใจ (ทํางาน แต่งงาน มีทรัพย์สินได้)
แต่ใจมุ่งตรงต่อพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ให้มีข้อคิดคติเตือนใจโดยใช้ชีวิตอย่างสมถะ
โดยมีจิตใจที่ละวางจากพันธนาการทางโลก เพื่อมุ่งเน้นความพึงพอพระทัยของพระเจ้า
ซึ่งมีตัวอย่างคํากล่าวของท่านอาลีที่กล่าวว่า "ความสมถะ (Zuhd) ไม่ใช่การที่คุณไม่มีอะไรเลย แต่คือการที่ไม่มีสิ่งใดครอบครองใจคุณได้" สรุป มุญาฮะดะตุลนฟส์ (Mujahadat al- Nafs) คือคําที่ตรงกับความหมายของ "การบําเพ็ญตบะ" หรือการต่อสู้กับตนเองมากที่สุด ซึ่งแปลว่า การต่อสู้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเอง
คือการฝึกฝนจิตใจให้เอาชนะกิเลส ความโลภ ความโกรธ และความลุ่มหลงในโลกนี้
เพื่อให้จิตใจสะอาดและนิ่งสงบในการภักดีต่อพระเจ้า ส่วนซุฮุด (Zuhd) คํานี้มักถูกแปลว่า "ความสมถะ" หรือ "การสละโลก" คือการละวางจากสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อโลกหน้า ซูฮุดคือสภาวะทางจิตใจที่ไม่ยึดติดกับวัตถุหรือความหรูหรา
แม้จะมีทรัพย์สิน แต่หัวใจไม่ได้ตกเป็นทาสของมัน (ตรงกับคําว่า Detachment of the heart ความหมายของ "Asceticism" ในบริบทอิสลาม ไม่ใช่การเป็นฤาษีที่หนีไปพรตอยู่ป่า
แต่หมายถึงการเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกหน้า
(อาคีเราะฮ์) แน่นอนว่ารวมไปถึงการละทิ้งสิ่งไร้สาระสิ่งใดที่ไม่ช่วยให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น
หรือไม่สร้างประโยชน์ให้สังคม ก็จะละวางสิ่งนั้นๆ ข้อแตกต่างที่สําคัญระหว่างนักพรตทั่วไปกับนักบวชอิสลาม
หลักๆคือการที่นักพรตศาสนาอื่นตัดขาดออกจากโลกภายนอกแบบสมบูรณ์ (ไม่แต่งงาน
ไม่ทํางาน ไม่เอาสมบัติ) เพื่อเข้าถึงธรรม แต่การบวชอิสลามที่มีความสมถะคือละทิ้งความยึดติดภายในใจ
(ทํางาน แต่งงาน มีทรัพย์สินได้) แต่ใจมุ่งตรงต่อพระเจ้าเพียงผู้เดียว
ทำเพื่อผลประโชยน์ของพระเจ้ามากกว่าตัวเอง โดยสรุปแล้วการบวชอิสลามอย่างลึกซึ้งต้องรู้จักการละวางทางจิตใจให้ถูกต้อง ในทางวิชาการอิสลาม ประโยคที่ว่า “ละทิ้งสิ่งของนอกกาย” มีความหมายสื่อถึงศัพท์ภาษาอาหรับที่ว่า "ซุฮุด"
(Zuhd) ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่การมีชีวิตที่ยากจน
ความหมายของ "Detachment of the heart" คือการละวางทางจิตใจ ในอิสลามไม่ได้สอนให้เรา "ไม่มีทรัพย์สิน" แต่สอนให้ "อย่าให้ทรัพย์สินอยู่ในหัวใจ" คือไม่ยึดติดกับสิ่งของนอกกาย หรือ การวางใจให้เป็นกลางต่อสิ่งทางโลก การที่เรามีเงินทอง
มีบ้าน มีรถ หรือมีตําแหน่ง แต่สิ่งเหล่านี้ "อยู่ในมือ" ไม่ได้ "อยู่ในใจ" หมายความว่าถ้าได้มาก็ไม่ดีใจจนลืมตัว และถ้าเสียไปก็ไม่เสียใจจนเกินเหตุ
เพราะถือว่าทุกอย่างเป็นของประทาน (ริซกี) จากพระเจ้า
ในภาษาอาหรับ
คำว่า เราะห์บานียะฮ์ (رهبانية) โดยหลักแล้วหมายถึงการพรต แต่มีความหมายสองระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับบริบทการใช้งาน:
ความหมายทางภาษาและศาสนา: การพรต/การบำเพ็ญเพียรอย่างสุดโต่ง; คำนี้มาจากคำว่า
รอฮิบ (นักพรต) ซึ่งมาจากรากศัพท์ รอห์บะฮ์ (ความเกรงกลัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวพระเจ้า
หมายถึงการปฏิบัติที่ถอนตัวออกจากโลก รักษาพรหมจรรย์ และละทิ้งความสุขทางโลกที่ถูกต้องตามกฎหมาย
(เช่น การแต่งงานและการมีส่วนร่วมทางสังคม) เพื่อมุ่งเน้นไปที่การบูชาอย่างเต็มที่
ในคัมภีร์อัลกุรอาน (ซูเราะห์ อัล-ฮะดีด 57:27) อธิบายว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ "คิดค้น"
โดยสาวกของท่านศาสดาอีซาด้วยความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย "การบวชแบบอิสลาม":
ญิฮาดและการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง; ในประเพณีอิสลาม ท่านศาสดามูฮัมหมัดได้กล่าวไว้อย่างมีชื่อเสียงโด่งดังว่า
"ไม่มีการถือเพศพรตในอิสลาม" อย่างไรก็ตาม ความหมายเชิงเปรียบเทียบประการที่สองปรากฏอยู่ในหะดีษ
ซึ่งระบุว่าญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า) คือ "การบวชในแบบฉบับอิสลามของประชาชาตินี้"
ในแง่นี้ ความพยายามทางกายและทางจิตวิญญาณของญิฮาดเข้ามาแทนที่แนวคิดของคริสเตียนเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากโลกโดยสิ้นเชิง
ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโลกเพื่อเห็นแก่พระเจ้า
วลีภาษาอาหรับเฉพาะเจาะจงว่า
رجل دين (rajul din) ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ผู้ทรงศีล"
หรือ "นักบวช" นั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานหรือในหะดีษที่เชื่อถือได้
(sahih) แม้ว่าคำว่า "นักบวช"
จะถูกใช้ในวรรณกรรมและการสนทนาสมัยใหม่เพื่ออ้างถึงผู้นำทางศาสนาอิสลาม แต่ข้อความดั้งเดิมของศาสนาอิสลามใช้คำที่แตกต่างออกไป
และไม่ได้จัดตั้งคณะนักบวชที่ทำหน้าที่วิงวอนอย่างเป็นทางการในลักษณะเดียวกับศาสนาอื่นๆ
อัลกุรอานและหะดีษกล่าวถึงนักวิชาการและผู้นำทางศาสนาโดยใช้คำที่เน้นความรู้ การชี้นำ
และความศรัทธา มากกว่าที่จะกล่าวถึงชนชั้นของนักบวชที่ได้รับการแต่งตั้งแยกต่างหาก
ส่วนคำว่า Qissisin (قسيسين) และ
Monks นั้น
อัลกุรอานกล่าวถึง "ภิกษุสงฆ์" และ "นักบวช" ของคริสเตียน (ซูเราะห์
5:85) ในบริบทของการยกย่องความอ่อนน้อมถ่อมตนของพวกเขา แต่คำเหล่านี้หมายถึงคณะนักบวชของคริสเตียนโดยเฉพาะ
ไม่ใช่คณะนักบวชของมุสลิม แนวคิดหลักในศาสนาอิสลามคือความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างบุคคลกับพระเจ้า
โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางหรือชนชั้นนักบวชในความหมายแบบดั้งเดิม คำศัพท์ที่มีอยู่เป็นเพียงตำแหน่งตามหน้าที่
โดยอิงจากความรู้และการรับใช้ชุมชน อัลกุรอานกล่าวว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงบัญชาให้มีการบวชเป็นภิกษุ
(เราะห์บานียะฮ์) แต่สาวกของท่านนบีอีซาได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อแสวงหาความพึงพอใจของพระเจ้า
โดยไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมทราม อิสลามปฏิเสธการปฏิบัติเฉพาะของการปลีกตัวออกจากสังคมและการถือพรหมจรรย์
(การบวชเป็นภิกษุ) แต่ส่งเสริมการบำเพ็ญตบะ (ซุฮด์) (การละวางจากความปรารถนาทางโลกในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในชุมชน)
และการอุทิศตนอย่างสมดุลที่ผสานเข้ากับชีวิต โดยท่านศาสดามุฮัมมัดเรียกญิฮาดในหนทางของพระเจ้าว่า
"การบวชเป็นภิกษุ" ของประชาชาตินี้ โองการสำคัญในอัลกุรอาน; ซูเราะห์อัลฮะดีด
(57:27): “แล้วเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเราไปตามรอยเท้าของพวกเขา และได้ส่งนบีอีซา
[บุตรของมัรยัม] และได้ประทานพระกิตติคุณแก่เขา และเราได้ปลูกฝังความเมตตาและความกรุณาไว้ในหัวใจของบรรดาผู้ที่ติดตามเขา
แต่การบวชเป็นภิกษุนั้น พวกเขาคิดค้นขึ้นเอง เราไม่ได้บัญญัติไว้สำหรับพวกเขา แต่พวกเขาทำไปเพื่อแสวงหาความพอพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น
และพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง ดังนั้นเราจึงได้ให้รางวัลแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาในหมู่พวกเขา
แต่หลายคนในหมู่พวกเขากลับดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง” มุมมองอิสลามเกี่ยวกับการบวชเป็นภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณี
(เราะห์บานียะฮ์): นวัตกรรมต้องห้าม (บิดอะฮ์): นักวิชาการอิสลามคลาสสิกมองว่าการถือเพศพรตเป็นนวัตกรรมทางศาสนาต้องห้ามที่ไม่ได้กำหนดไว้โดยพระเจ้า
สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์: อัลกุรอานชี้แจงว่ามันเป็นการคิดค้นของมนุษย์โดยชาวคริสต์ยุคแรก
แม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม ความล้มเหลวในการปฏิบัติตาม: โองการนี้ระบุว่าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาคิดค้นขึ้นเองได้อย่างถูกต้อง
นำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การถือพรหมจรรย์ การปลีกตัว และความยากลำบากอย่างยิ่ง ซึ่งอิสลามไม่สนับสนุน
แนวทางที่สมดุลของอิสลาม: ไม่มีระบบการถือเพศพรตในอิสลาม: ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า
"ไม่มีระบบอารามวาสีในอิสลาม" เพราะอิสลามส่งเสริมการงดเว้นและไม่ยึดติดกับความปรารถนาทางโลก
(ซุฮด์) ในขณะที่ยังคงมีส่วนร่วมในสังคม ไม่ใช่การถอนตัวออกจากสังคม แต่สนับสนุนการญิฮาดในฐานะนักบวชอิสลาม:
ท่านศาสดาได้นิยาม "การบวชแบบอิสลาม/การบำเพ็ญตบะของประชาชาตินี้" ว่าเป็นการดิ้นรนและต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า
โดยมุ่งเน้นที่การต่อสู้ทางจิตวิญญาณภายในโลก ไม่ใช่การหลีกหนีจากโลก แต่ก็มีการปกป้องวัดวาอาราม:
แม้จะห้ามการปฏิบัติ แต่คัมภีร์อัลกุรอาน (ซูเราะห์ 22:40) ก็สั่งให้ปกป้องสถานที่สักการะ
รวมถึงวัดวาอาราม โบสถ์ และธรรมศาลา
การทำซุฮด์นั้นทำเพื่อให้เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสของวัตถุและมุ่ง
มั่นสู่เป้าหมายทางจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง 3 ระดับของการทําซุฮด์ สามารถแบ่งระดับไว้ดังนี้: 1. ระดับพื้นฐาน (วาญิบ):
การสละสิ่งที่เป็นข้อห้าม (หะราม) ทั้งหมด. 2. ระดับกลาง:
การละทิ้งสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินความจําเป็นแม้จะเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทําได้
(มุบาห์) เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับการทําความดีมากขึ้น. 3. ระดับสูงสุด: การไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลยนอกจากความพึงพอพระทัยของพระเจ้า ส่วนวิธีการนํามาใช้ในปัจจุบันในยุคที่วัตถุนิยมและการแสดงออกทางโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง
หลักการซุฮด์ช่วยให้เราลดความโลภ ไม่วิ่งตามกระแสบริโภคนิยมจนสร้างหนี้สินเกินตัว
แถมยังช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี เมื่อใจไม่ยึดติดกับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น
เราจะพบความสันโดษ (Qana'ah) และความสุขที่ยั่งยืน คําว่า "ซุฮด์" (Zuhd) ในทางวิชาการอิสลาม มักถูกแปลว่า "ความมักน้อย" หรือ "ความสันโดษ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับคําว่า "การบําเพ็ญตบะ" ในแง่ของการควบคุมความต้องการทางโลก
แต่มีรายละเอียดและเป้าหมายที่แตกต่างจากการทรมานตน (Self-mortification) หรือการปลีกวิเวกแบบภิกษุสงฆ์ (Monasticism)
ความหมายที่แท้จริงของ Zuhd ตามหลักการอิสลาม ซุฮด์ไม่ได้แปลว่า "ความยากจน" หรือการไม่มีทรัพย์สิน แต่ความหมายที่แท้ จริงคือการถอนใจออกจากโลก คือภาวะที่หัวใจไม่ยึดติดกับวัตถุหรือชื่อเสียง
แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีทรัพย์สินมหาศาลก็ตาม คือการให้ความสําคัญกับโลกหน้า
(อาคิเราะฮ์) เหนือความสุขชั่วคราวในโลกนี้ ซึ่งมีความสงบในหัวใจ
คือการไม่ดีใจจนเกินไปเมื่อได้มาและไม่เสียใจ อย่าลืมไปที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)
เคยกล่าวตําหนิผู้ที่ตั้งใจจะละหมาดทั้งคืนโดยไม่นอนหรือถือศีลอดทุกวันโดยไม่พัก
โดยท่านยืนยันว่าท่านเองก็มีครอบครัว มีการพักผ่อนและรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของซูฮุดคือเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะทําอิบาดะฮ์
(เคารพภักดี) ต่อพระเจ้าได้ ไม่ใช่การทําลายสุขภาพ ประโยชน์ของการท่าซุฮด์ในชีวิตสมัยใหม่การนําหลัก "ซุฮด์" สามารถช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจได้มากมาย เช่น ลดความเครียดจากการเปรียบเทียบ เมื่อหัวใจไม่ยึดติดกับวัตถุ
เราจะไม่อิจฉาผู้อื่นที่มีมากกว่า และก็ยังช่วยให้มีจิตใจมีอิสระที่เราจะไม่ตกเป็นทาสของกระแสนิยมหรือวัตถุนิยม
(Consumerism/Materialism) แล้วเมื่อเข้าถึงความสงบทางจิตใจ เมื่อเราพอใจในสิ่งที่พระเจ้าจัดสรร (Qana'ah) เราจะพบความสุขที่แท้จริง ในทางศาสนาอิสลาม
คําว่า "ซุฮด์" (Zuhd) มักถูกแปลว่า "การมักน้อย" หรือ "การสละโลก" ซึ่งมีความ หมายที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การละทิ้งสิ่งของนอกกาย
แต่คือสภาวะทางจิตใจต่อสิ่งทางโลก (Dunya) แบบว่า "ใช้โลกนี้เป็นทางผ่านเพื่ออาคิเราะฮ์ (โลกหน้า)"

วัตถุประสงค์ของการ "เข้าฌาน" แบบอิสลาม ได้แก่: 1. เพื่อความใกล้ชิด (Qurb): ไม่ใช่เพื่อให้มีอิทธิฤทธิ์ แต่เพื่อให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดเท่าที่ได้. 2. เพื่อความสงบ (Sakina): จิตใจจะได้รับความสงบที่แท้จริงจากการเชื่อมต่อกับแหล่งกําเนิดวิญญาณ. 3. เพื่อปรับปรุงบุคลิกภาพ: เมื่อใจสะอาด
พฤติกรรมภายนอก (Adab) จะงดงามตามไปด้วย. แต่ก็จดจำไว้ข้อควรระวังในการทำสมาธิเข้าฌานตะเซาวุฟ คือต้องไม่ออกนอกขอบเขตของ
Sharia (กฎหมายอิสลาม) ต้องดำรงไว้ซึ่งการละหมาด 5 เวลา
และการทําตามคําสั่งใช้ของศาสนายังคงเป็นรากฐานสําคัญที่สุด
หากการเข้าฌานนําไปสู่การละทิ้งศาสนบัญญัติ สิ่งนั้นจะไม่ถือว่าเป็นตาสวุฟที่ถูกต้องตามหลักการ
การเข้าฌานในแบบอิสลาม (Muraqabah) ต่างจากการนั่งสมาธิเพื่อให้จิตว่างเปล่า
แต่ "มุรอกอบะฮ์" คือการทําให้จิตเต็มไปด้วยการระลึกถึงพระเจ้า โดยมีลักษณะสําคัญดังนี้; การจดจ่อ (Focus): ใช้การทํา Zikr (ซิกิร) หรือ การรําลึกถึงพระนามของพระเจ้า ใช้ใจเพื่อดึงความสนใจออกจากโลกภายนอกสู่โลกภายใน; การเฝ้าสังเกตใจ:
ผู้ปฏิบัติจะเฝ้าดูความนึกคิดของตนเอง ไม่ให้สิ่งอื่นนอกจากพระเจ้าเข้ามาครอบงําจิตใจ; สภาวะทางจิต: เมื่อฝึกฝนจนชํานาญ
จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า Fana (ฟะนา) คือการดับสิ้นของอัตตา (Ego) จนรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดดํารงอยู่จริงสุดแท้นอกจากพระเจ้า และก็จะมีรูปแบบการปฏิบัติ
(Dhikr & Meditation) ในสายตะเซาวุฟ ของ Tariqah ต่างๆ อาจมีเทคนิคต่างกัน เช่น; Zikr
Khafi (ซิกิรลับ): การรําลึกในใจพร้อม
จังหวะการหายใจ; การเพ่งพิจารณาอัลกุรอาน:
การจดจ่ออยู่กับ ความหมายเชิงลึกของโองการต่างๆ; Rabita: การเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณผ่านผู้สอนเพื่อนําไปสู่การรู้จักพระเจ้า ด้วยการ Tasawwuf (ตะเซาวุฟ) ที่เป็นองค์ประกอบหลักในรหัสยนิยมอิสลาม (Sufism) คําว่า "การเข้าฌาน" มักจะตรงกับคําว่า "Muraqabah"
(มุรอกอบะฮ์) ซึ่งหมายถึงการเฝ้าดู การสํารวจจิต หรือการมีสติจดจ่ออยู่กับพระเจ้า
แบบแทบตลอดเวลา นี่คือคําอธิบายสรุปเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย Tasawwuf คือวิชาที่ว่าด้วยการขัดเกลาจิตใจ (Tazkiyah al-Nafs) เพื่อให้บรรลุถึงความบริสุทธิ์ของศรัทธา เป้าหมายคือการบรรลุเข้าถึงระดับฌานขั้นสูงซึ่งจะได้
Ihsan (อิห์ซาน) ซึ่งหมายถึง "การปรนนิบัติพระเจ้าเสมือนว่าเราเห็นพระองค์
แม้เราจะไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นเราเสมอ"
เมื่อได้อิห์ซานมาแล้วก็ถือว่าได้มีฌานขั้นสูงอยู่ในตัวและรอบกายก็อาจจะมีแสงสว่างที่เปล่งปลั่งแวววาวเจิดจรัสขึ้นไปอีก
ในทาง Sufism หรือแนวทางจิตวิญญาณอิสลาม มีการฝึกที่ใกล้เคียงกับการวิปัสสนามากที่สุด
คือ การเฝ้าสังเกตจิตใจของตนเองและตระหนักถึงการเฝ้ามองของพระเจ้า
เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลส ให้จิตวิญญาณใกล้ชิดกับพระองค์ ความแตกต่างระหว่างฌานทั่วไปกับอิสลาม
หลักๆนั้นการเข้าฌานทั่วไปอาจมุ่งเน้นที่ความว่างหรือความสงบของจิต แต่ในอิสลาม
เป้าหมาย คือ "พระเจ้า" และการเพิ่มพูนความยําเกรง (ตักวา) ซึ่งวิธีการคือไม่มีการกำหนดจิตให้เห็นนิมิตตามจินตภาพ
แต่เป็นการฝึกเพื่อขัดเกลาจริยธรรมและจิตวิญญาณให้สะอาด สรุปการเข้าฌานในอิสลามคือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับพระเจ้าในทุกขณะจิตให้ได้มากที่สุด
เพื่อให้เกิดความสงบทางวิญญาณและการยอมรับในอํานาจของพระองค์ นี่คือสมาธิขั้นสูงสุดในอิสลาม
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมว่าเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าตลอด
เวลาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักศรัทธาในอิสลาม การมี "คุชูอฺ"
(Khushu') ในการละหมาด ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ในการละหมาด
5 เวลา มุสลิมจะฝึกสมาธิที่เรียกว่า "คุชูอฺ" คือการสํารวมกายใจ และจิตวิญญาณ ตัดขาดจากเรื่องราวทางโลก
และจดจ่ออยู่กับบทสวดและการรําลึกถึงพระเจ้า หากทําได้อย่างสมบูรณ์ จะมีสภาพฌานที่จิตสงบนิ่งและเปี่ยมด้วยความยําเกรง
แล้วบวกกับการทํา "ซิเกร" (Dhikr) คือการรําลึกถึงพระเจ้าผ่านคํากล่าวซ้ําๆ เช่น SubhanAllah (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระเจ้า)
หรือ Alhamdulillah (มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระเจ้า)
การทําซิกิรอย่างต่อเนื่องจะช่วยขัดเกลาจิตใจให้สะอาดและทําให้หัวใจสงบ
(จิตเป็นสมาธิ) ในทางศาสนาอิสลาม คําว่า "เข้าฌาน" มักจะถูกเปรียบเทียบกับสภาวะทางจิตที่เรียกว่า "อัล-อิฮ์ ซาน"
(Al-Ihsan) หรือสภาวะ "คุชูอฺ" (Khushu') ซึ่งเป็นการรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่ออยู่กับพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว
เกร็ดสาระน่ารู้อีกอย่างคือที่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ให้คํานิยามของสภาวะสูงสุดนี้ไว้ว่า
"การที่ท่านจงรักภักดีต่อพระเจ้าเสมือนกับว่าท่านเห็นพระองค์
แม้ว่าท่านจะไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นท่านเสมอ”
นักบวชกับพระต่างกันยังไง นักบวชเป็นคํากว้างๆ
หมายถึงผู้ที่อุทิศตนในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ส่วนพระ (ภิกษุ)
เป็นคําเฉพาะสําหรับนักบวชชายในศาสนาพุทธเท่านั้น
โดยนักบวชในศาสนาอื่นจะมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น บาทหลวงในคริสต์ หรือพราหมณ์ในฮินดู
ซึ่งนักบวชแต่ละศาสนาก็มีหน้าที่และหลักปฏิบัติที่แตกต่างกันตามหลักศาสนาของตน
โดยทั่วไปแล้วนักบวชอาจจะหมายถึงผู้ที่สำเร็จการ “บวช” อย่างลึกซึ้งในศาสนาต่างๆแล้วอุทิศตนเพื่อศาสนา
ส่วนหน้าที่ก็แตกต่างกันไปตามศาสนา เช่น ประกอบพิธี สอนธรรม หรือชี้นําทางจิตวิญญาณ
หลายคนสงสัยว่าทําไมถึงมีการ "บวช" หรือเรียกว่า "นักบวช" ในสํานักอิสลามมีร์ซา จริงๆแล้วการศึกษาศาสนาเชิงลึกนั้น คําว่า "บวช" ในบริบทของสํานักอิสลามมีร์ซา (เช่น ในหัวข้อ "บวชอิสลามกับท่านอิสลามมีร์ซา") มักสื่อถึงการเข้าสู่ความบรรลุธรรมตามหลักการทางศาสนาอิสลาม ซึ่ง "ไม่มีระบบอารามวาสี" (No Monasticism)
ในรูปแบบของผู้ที่ตัดขาดจากทางโลกเพื่อบําเพ็ญเพียร
หรือผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยเฉพาะกรณีของท่านอิสลามมีร์ซา
ยูเรเชีย (Sayyid Islammirza Eurasia) นั้นมีความซับซ้อนและมีรายละเอียดเฉพาะตัว เช่น การเรียกชื่อ "นักบวช" เป็นการใช้คําเรียกเชิงสัญลักษณ์หรือทางวัฒนธรรม สรุปข้อแตกต่างระหว่าง "นักบวชทั่วไป" กับ "นักบวชอิสลาม"; คําเรียก Cleric/Religious
Authority: ในสื่อและข้อมูลประวัติของท่านอิสลามมีร์ซามักมีการระบุว่าเป็น "นักบวชอิสลาม"
(Islamic Cleric) แต่คํานี้ในบริบทอิสลาม (สายซูฟี-ซุนนี)
หมายถึง ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้นําทางจิตวิญญาณ ที่อุทิศตนศึกษาศาสนา ไม่ใช่นักบวชทั่วไปที่ต้องครองโสดหรือปลีกวิเวกตลอดชีวิตเหมือนในบางศาสนาอื่น
แต่ในสำนักอิสลามมีร์ซามีการบวชฉบับอิสลามที่มีกระบวนการขัดเกลาจิตใจ (Tazkiah) และการเรียนรู้สัจธรรมผ่านการเทศนา บทบาทในสื่อท่านพี่โอ๊คมีชื่อเสียงจากการผลิตสารคดีแนวเทววิทยากับภววิทยา
เช่น Prince of Eurasia ซึ่งใช้มุมมองของ "นักบวชลึกลับ" ในการเล่าเรื่องเพื่อสร้างความน่าสนใจทางวัฒนธรรมและเผยแผ่หลักพระเจ้าองค์เดียว
(Monotheism) อย่างไรก็ดี ท่านอิสลามมีร์ซาคือปรมาจารย์ศาสนา และท่านพี่โอ๊คก็ยังเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ถูกอ้างถึงในฐานะผู้นําทางจิตวิญญาณสายซูฟีอัตลักษณ์ยูเรเชียที่สะท้อนถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก

การบวชอิสลาม ไม่ใช่แค่การถือศีลอดอาหาร
แต่ต้องมีศีลอย่างอื่นด้วย การบวชของอิสลามไม่ใช่แค่การอดอาหารน้ําดื่ม
แต่เป็นการฝึกตนด้านจิตวิญญาณอย่างครอบคลุมทั้งการงดเว้นจากสิ่งไม่ดีทั้งกายและใจ
เช่น งดการพูดเท็จ งดการทะเลาะวิวาท งดการสูบบุหรี่ รวมถึง เพิ่มการอ่านอัลกุรอาน สนับสนุนการให้บริจาคทานและการทําความดีอื่นๆ
เพื่อให้เกิดความสํานึกในพระเจ้าและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ สรุปความหมายที่ลึกซึ้งปลีกย่อยของการบวชได้ดังนี้; 1. ฝึกฝนจิตใจ: เพื่อสร้างความ Taqwa ยําเกรงต่อพระเจ้า และควบคุมตัณหา. 2. ทําความเข้าใจผู้ยากไร้: ให้รู้สึกถึงความอดอยาก ของผู้ที่ไม่มีจะกิน
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริจาค และช่วยเหลือผู้อื่น. 3. ฝึกความอดทน: อดทนต่อความหิวโหย ความกระหาย และอารมณ์ต่างๆ. 4. ทําความดี: โดยเฉพาะช่วงเดือนรอมฎอนที่เป็นโอกาสทองในการทําความดี
เช่น การอ่านอัลกุรอาน การละหมาด การให้ทาน (ซะกาต/ซอดาเกาะห์. 5. ละเว้นจากสิ่งไม่ดี: นอกจากอาหารและน้ําแล้ว
ยังรวมถึงการงดเว้นจากการพูดจาไม่ดี งดโกหก งดนินทา และงดการกระทําผิดศีลธรรมอื่นๆด้วย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องละเว้นนอกเหนือจากอาหารและน้ําในการบวชอิสลาม
ในศาสนาอิสลาม อุลามาอฺในแต่ละทรรศนะมีโครงสร้างความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเรื่อง "นักบวช" ซึ่งบรรทัดฐานที่ตรงกันคือไม่มีระบบพระในความหมายแบบศาสนาพุทธหรือคริสต์
เนื่องจากอิสลามไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นว่าใครมีความศักดิ์สิทธิ์กว่าใคร
เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่มีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริง ทุกคนสามารถขอพรต่อพระเจ้าได้โดยตรงแบบไม่ต้องผ่านตัวกลาง
ถึงกระนั้นตามแต่ นักบวชอิสลามที่เข้าใจกันตามหลักสากลโลกคือ "ปราชญ์ผู้นําทางศาสนา" คำเรียกที่สื่อถึงนักบวชอิสลามในแถบภูมิภาคเปอร์เซียและเอเชียกลางมักเรียกกันว่า
Mullah (มุลลาห์) ซึ่งเป็นตําแหน่งทางศาสนาในบางวัฒนธรรม
(เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน หมายถึงเมาลานาที่เป็นปรมาจารย์ด้านศาสนา ส่วน Sufi Saint (นักบุญซูฟี) เป็นผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ทางจิตวิญญาณ
สามารถตะเซาวุฟขั้นสูงได้ มีความใกล้ชิดกับพระเจ้าสูงมาก มักมีศิษย์ที่เป็นซูฟีด้วยกันเคารพและยกย่องอย่างลึกซึ้งในฐานะผู้มีบารมี
แต่ก็เป็นที่ถูกเถียงในหมู่มุสลิมสายอนุรักษ์นิยมบางกลุ่ม คนเราควรคำนึงไว้ นักบุญ/นักบวชในศาสนาอิสลามไม่เชื่อในตัวกลาง
(Mediator) ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
การเคารพจึงเน้นที่การปฏิบัติตามคําสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด ไม่ใช่การบูชาตัวบุคคลหรือเจว็ดใดๆทั้งสิ้น
นักบวชอิสลามไม่ใช่นักบวชที่ต้องสละทางโลกหรือมีศีลที่แตกต่างจากคนปกติ
นักบวชอิสลามบางท่านอาจถูกเรียกว่า Shaykh หรือ “Pir” (ที่คล้ายกับคำว่า “Prince”) ถ้าเป็นตำแหน่งสำนักงานระดับทางการอาจถูกเรียกว่า Amir al-Mu’minin ที่แปลตรงตัวก็คือเจ้าชายแห่งมุสลิมที่ดี ซึ่งบุคคลแห่งอิสลามเหล่านี้หลายท่านสามารถทำหน้าที่เป็นปรมาจารย์เทศนาแนวทางปฏิบัติและวิถีรหัสยนิยมของศาสนาอิสลาม
ถึงอย่างไรก็ตามแต่ เมื่อมีคนกล่าวถึงท่านอิสลามมีร์ซาว่าเป็น "นักบวช" อาจเป็นการใช้คําเรียกตามความเข้าใจในภาษา
ไทยเพื่อสื่อถึงผู้ที่มีบทบาทสําคัญทางศาสนา แต่ในทางเทววิทยาอิสลามแล้ว
ตําาแหน่งของท่านจะอยู่ในหมวดหมู่ ปราชญ์ผู้นําทางศาสนา หรือ ปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณ
มากกว่าจะเป็นนักบวชตามนิยามทั่วไป คนเราต้องตระหนักไว้เสมอว่า ทุกชีวิตที่พระเจ้าสร้างมามีจิตวิญญาณที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่เพราะเป็นจิตวิญญาณที่พระเจ้าทรงประทานให้บังเกิดขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เช่นการที่พระเจ้าให้ลมหายใจของพระองค์ทำให้เกิดจิตวิญญาณของนบีอีซาที่มีศาสนนามว่า
“Ruhullah” ที่แปลว่าจิตวิญญาณของพระเจ้า
ส่วนความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงมากที่สุดเป็นของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว
แน่นอนว่าผู้ที่เคร่งครัดก็มักจะมองว่ามุสลิมที่ดีต้องพยายามเป็นเหมือนนักบวชในชีวิตประจําวันผ่านการปฏิบัติตามหลักการศาสนา.
ในทัศนะของอิสลามโดยเฉพาะในสายซูฟี (Sufism) มีความเชื่อว่าเป็นไปได้ที่พระเจ้าจะประทานความสามารถพิเศษในการรับรู้มิติที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
ซึ่งเรียกสภาวะนี้ว่า "กัชฟ์" (Kashf) หรือการเปิดม่านกั้นแห่งความเร้นลับ รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นนี้มีประเด็นสําคัญดังนี้: กัชฟ์ (Kashf) คือการเปิดม่านแห่งใจ หมายถึงการถอดหรือ เปิดม่านกั้น (Unveiling) เป็นสภาวะที่หัวใจของผู้ศรัทธาสามารถรับรู้ความจริงทางจิตวิญญาณหรือมิติเร้นลับ
(Al-Ghaib) ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสปกติและสติปัญญา สภาวะนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการเรียนรู้ทางทฤษฎี
แต่เป็น "แสงที่พระเจ้าทรงประทานลงในหัวใจของผู้ศรัทธา" โดยสามารถบรรลุผ่านการขัดเกลาจิตใจ (Tazkiyah) การรําลึกถึงพระเจ้า (Dhikr) และการมีวินัยทางจิตวิญญาณอย่างเข้มงวด แต่ก็มีขอบเขตทางศาสนา คือแม้จะมีความเชื่อเรื่องกัชฟ์แต่คัมภีร์อัลกุรอานยืนยันว่าพระเจ้าเพียงผู้เดียวที่มีความหยั่งรู้แท้จริงในทุกสรรพสิ่งเร้นลับ
(Al- Ghaib) มนุษย์จะรู้ได้เพียงเท่าที่พระองค์ทรงอนุญาตเท่านั้น สรุปคือ ในทางอิสลามซูฟีเชื่อว่า เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่คนบางคนจะมองเห็นมิติที่คนธรรมดามองไม่เห็น
ผ่านแสงสว่าง (Nur) ที่พระเจ้าทรงเปิดม่านในหัวใจให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังโลกทางกายภาพ สิ่งที่สามารถมองเห็นหรือรับรู้ได้ ผู้ที่บรรลุถึงขั้นสูงในทางซูฟีอาจได้รับอนุญาตให้รับรู้สิ่งต่อไปนี้:
1. มิติจิตวิญญาณ:
การรับรู้ถึงการมีอยู่ของมลาอิกะฮ์ (เทวทูต) หรือสิ่งที่เร้นลับอื่นๆ 2. ความรู้แจ้ง (Basirah): มีความสามารถในการอ่านความคิดหรือรับรู้ถึงสภาพจิตใจของคนรอบข้าง
หรือเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ เช่นกรณีของท่านนักบุญผู้วิเศษอัลคิฎิร
(al-Khidr) ในอัลกุรอาน 3. นิมิตทางจิต: บางคนอาจเห็นแสงหรือนิมิตต่างๆระหว่างการละหมาดหรือการทําซิเกร
4. ความเมตตาจากพระเจ้า: ความรู้นี้ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของมนุษย์
แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เปิดเผยให้ตามความประสงค์ของพระองค์เท่านั้นที่พระองค์ให้ความเมตตาแก่บ่าวพิเศษ อย่างไรก็ดี รหัสยนิยมก็มีความเสี่ยงอยู่ เช่น
การเห็นสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องหลอกลวงหรือภาพลวงตาได้ (Tricky) ดังนั้นนักปฏิบัติทางซูฟีมักได้รับคําแนะนําให้ตรวจสอบกับท่านเจ้าอาจารย์หรือปรมาจารย์แห่งรหัสยนิยม
(Mystic Grandmaster) เพื่อความถูกต้อง และมีเงื่อนไขและข้อควรระวัง คือการที่จะได้รับความรู้ที่ลึกลับเหนือคนปกตินั้นไม่ใช่เป้าหมายหลัก
เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของซูฟีคือการเข้าถึงความรักของพระเจ้าและการ ขัดเกลาหัวใจ
(Tazkiyah) ให้มีความสุดยอดเยี่ยม (Ihsan) ส่วนความสามารถในการเห็นสิ่งเร้นลับถือเป็นผลพลอยได้หรือ "งานอดิเรก" ทางจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนคำเตือนที่สำคัญที่สุดคือห้ามคิดว่าตนสามารถหยั่งรู้เห็นถึงดวงชะตาในอนาคตเด็ดขาด
พระเจ้าห้ามทำนายโชคชะตาเพราะการดูดวงเป็นการกระทำที่ชิริกที่ตั้งภาคีเชื่อผีสางล่วงเกินความลับที่พระเจ้าสงวนไว้ไม่ให้ใครไปสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับการลิขิตชะตาชีวิตทุกชีวิตของพระองค์
ผู้ศรัทธาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าคนที่เป็นหมอดูคือหมอปลอม
การบวชแบบถือศีลอดอาสาสมัคร (Voluntary Fasting) เรียกว่า ศิยาม อัต-ตะเตาวะอ์ (Siyam
al-Tatawwu') หรือที่มักเรียกกันว่า นะฟิล (Nafl) เป็นการปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนผลบุญตามความสมัครใจ
วันที่แนะนําให้ถือศีลอด (ซุนนะฮ์) คือ วันจันทร์และวันพฤหัสบดี:
เป็นวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัดแนะนําให้ถือศีลอด
เนื่องจากเป็นวันที่การงานของผู้คนจะถูกนําเสนอต่อพระเจ้า นอกจากนี้ก็ยังมีวันที่แนะนำให้ถือศีลอด
ได้แก่ วันสีขาว (Ayam al-Beedh) คือวันที่ 13, 14 และ 15 ของทุกเดือนตามปฏิทินจันทรคติอิสลาม และก็ซุนนะห์ศีลอด 6 วันในเดือนเชาวาล: การถือศีลอด 6 วันในเดือน ที่ถัดจากเดือนรอมฎอน และ วันอะระฟะฮ์:
วันที่ 9 ของเดือนซุลฮิจญะฮ์
(สําหรับผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจญ์) ซึ่งเชื่อว่าช่วย
ลบล้างบาปในปีก่อนหน้าและปีถัดไป และ วันอาชูรอ: วันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม อย่างไรก็ตาม การถือศีลอดชดใช้
เรียกว่า ศิยาม อัล-กอฎออ์ (Siyam al-Qada') คือ การถือศีลอดเพื่อทดแทนวันที่ขาดไปในเดือนรอมฎอนด้วยเหตุจําเป็น เช่น สตรีที่มีประจําเดือนหรือเลือดหลังคลอดบุตร
ผู้ที่เจ็บป่วยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง และยังมีการถือศีลอดเพื่อไถ่ถอนความผิด (Expiation Fasting) เรียกว่า กัฟฟาเราะฮ์ (Kaffarah) เป็นการถือศีลอดเพื่อล้างบาปจากการละเมิดข้อห้ามบางประการ เช่น
การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงกลางวันของเดือนรอมฎอน ซึ่งต้องถือศีลอดติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน และก็ยังมีการถือศีลอดตามคําสาบาน (Vowed Fasting) เรียกว่า นัซร์ (Nadhr) คือการตั้งใจหรือบนบานไว้ว่า
หากประสบความสําเร็จตามที่หวังจะถือศีลอด เป็นการขอบคุณพระเจ้า
เมื่อสิ่งที่หวังเป็นจริง การถือศีลอดนั้นจะกลายเป็น "วาญิบ" หรือสิ่งจําเป็นที่ต้องทํา
ทั้งนี้ก็เป็นสิ่งดีงามที่ท่านพ่อปาป๊าป๋าโอ๊คแห่งยูเรเซียสุดหล่อ
(Handsome Papa Oak of Eurasia) ได้นำหลักฐานทางศาสนบัญญัติมาอ้างอิงถึง; لاَ رَهْبَانِيَّةَ فِي الإِسْلاَمِ (lā rahbāniyyata fī al-islām) แปลได้ว่า: "ไม่มีความเป็นสงฆ์
(หรือที่ว่างสำหรับการถือเพศพรต) ในศาสนาอิสลาม"
หะดีษอีกบทหนึ่งที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นทางเลือกของศาสนาอิสลามนอกเหนือจากการอยู่อย่างสันโดษของนักพรตคือ:
إِنَّمَا رَهْبَانِيَّةْ الْجِهَادِي الْجِهَادِ فِي سَبِيلِ اللَّهِ
(innamā rahbāniyyatu ummatī al-jihādu fī sabīl allāh) คำนี้แปลได้ว่า “การบวชในอุมมะฮ์ (ชุมชน/ประชาชาติ)
ของฉันเป็นเพียงญิฮาดในวิถีทางของพระเจ้าเท่านั้น” ญิฮาดสามารถทำได้ทางจิตวิญญาณ การต่อสู้ภายในนี้มักเรียกกันว่า
"ญิฮาดที่ยิ่งใหญ่"
(อัล-ญิฮาด อัล-อักบัร)
และชาวมุสลิมจำนวนมากถือว่ามีความสำคัญมากกว่าญิฮาดรูปแบบภายนอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเพณีของซูฟี (มิติจิตวิญญาณอิสลาม) คำภาษาอาหรับคำว่า ญิฮาด
แปลว่า "การต่อสู้"
หรือ "ความพยายามอย่างเต็มที่ไปสู่
จุดมุ่งหมายที่น่ายกย่อง" และครอบคลุมความพยายามที่หลากหลายในการใช้ชีวิตตามการชี้นำของพระเจ้า
ญิฮาดทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่า
ญิฮาดทางจิตวิญญาณเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและมีสติกับตัวตนส่วนล่างของตัวเอง (nafs)
ซึ่งถือเป็นแหล่งที่มาของแรงกระตุ้น การล่อลวง และบาปที่ไม่พึงประสงค์ เช่น
ความเย่อหยิ่ง ความโลภ ความอิจฉา และความโกรธ
เป้าหมายคือการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า
และกลายเป็น ผู้ศรัทธาที่อิหม่าน (iman) พลังศรัทธามากขึ้น
การต่อสู้ภายในนี้เกี่ยวข้องกับการพยายามอย่างแข็งขันเพื่อพฤติกรรมที่มีคุณธรรม
บวกกับการซอบัร (sabr): การยับยั้งตนเองอย่างแข็งขันจากการกระทำผิดและการร้องเรียนเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติและการไว้วางใจในพระเจ้า
แล้วเราก็ต้องมีความกตัญญูกตเวที ขอบคุณต่อพระองค์ ด้วยการชูโกร (shukr):
การยอมรับและซาบซึ้งในพระพรของพระเจ้า. การให้อภัย:
การให้อภัยผู้อื่นและการแสวงหาการให้อภัยตนเองและการให้อภัยจากพระเจ้า.
การควบคุมตนเอง: ต่อสู้กับความปรารถนาภายในและ การล่อลวง. การกระทำเชิงบวก:
การมีส่วนร่วมในการกระทำที่มีความเมตตากรุณาและการรับใช้ผู้อื่น การต่อสู้ทางจิตวิญญาณนี้เป็นการเดินทางอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ซึ่งท่านศาสดามูฮัมหมัดได้รับการกล่าวขานอย่างมีชื่อเสียงเมื่อกลับมาจากการสู้รบ;
"เราได้กลับมาจากญิฮาดที่น้อยกว่าไปสู่ญิฮาดที่ยิ่งใหญ่กว่า".
บริบทในความคิดของอิสลาม:
แม้ว่าญิฮาดมักจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางกายภาพในวาทกรรมที่ได้รับความนิยมสมัยใหม่
แต่เนื้อหาสำคัญของเทววิทยาและจิตวิญญาณอิสลามก็เน้นย้ำถึงการต่อสู้ภายในอย่างสันติเป็นพื้นฐาน
นักวิชาการอิสลามคลาสสิก เช่น อิบนุ ก็อยยิม อัล-เญาซียา
ได้เน้นย้ำว่าญิฮาดเพื่อต่อต้านตัวตนระดับล่างนั้นมีมาก่อนญิฮาดต่อศัตรูภายนอก
มิติทางจิตวิญญาณของญิฮาดเป็นรากฐานสำหรับการสร้างความยุติธรรม ความปรองดอง
และความเป็นมนุษย์ในโลก

บางคนถามว่า กรณีที่ท่านพี่โอ๊คมันใช้คำว่า
"นักบวช" เรียกตนว่า “นักบวชอิสลาม” ถือเป็นบิดอะห์ หรือถึงขั้นมุรตัดไหม? ท่านพี่โอ๊คฮุก่มฟัตวาให้เข้าใจง่ายๆคือ ไม่ใช่การตกศาสนา (มุรตัด)
เนื่องจากการเรียกผู้รู้ศาสนาว่า "นักบวช"
ด้วยความไม่รู้หรือเพื่อสื่อสารให้คนต่างศาสนาเข้าใจง่ายขึ้น ไม่ทำให้คนพูดตกมุรตัด (ผู้ตกศาสนา) ตราบใดที่เขายังยึดมั่นในหลักศรัทธาพื้นฐาน
แต่อาจเข้าข่ายบิดอะห์ (อุตริกรรม) ในเชิงแนวคิดใหม่ที่มีศีลธรรมแง่บวกที่อาจได้รบการชื่นมื่นชมเชย
(Bid’ah Hasanah) ทั้งนี้ถ้าหากมุสลิมพยายาม "สร้างระบบ" หรือนำหลักการแบบนักบวชศาสนาอื่นเข้ามาใช้
เช่น การห้ามแต่งงานเพื่อความบริสุทธิ์ทางศาสนา หรือการตั้งวรรณะที่มีสิทธิเหนือคนอื่นในการเข้าหาพระเจ้า
สิ่งนี้จะถือเป็น บิดอะห์ (การเจือปนสิ่งใหม่ในศาสนาที่ขัดกับซุนนะห์) ซึ่งท่านนบีมูฮัมหมัดเคยตักเตือนไว้ว่า
"ไม่มีการถือเพศพรต (Monasticism) ในอิสลาม" สรุปคือ การใช้คำว่า "นักบวช" เรียกผู้นำมุสลิมเป็นการเรียกที่ คลาดเคลื่อนจากหลักการอิสลาม แต่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิดทางภาษา
ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียสภาพการเป็นมุสลิม ยกเว้นจะพยายามดัดแปลงหลักการศาสนาให้มีระบบภิกษุสงฆ์ขึ้นมาจริงๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น คำว่า Mawla (เมาลา) สามารถหมายถึง "นักวิชาการศาสนา" หรือ
"นักบวชอิสลาม" (cleric) ได้ในบางความหมาย โดยเฉพาะเมื่อปรากฏในรูปของคำว่า Mawlana (เมาลานา) หรือ Mullah (มุลลอห์) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกัน ประเด็นสำคัญของการใช้คำนี้ในแง่ของผู้นำศาสนามีดังนี้:1. Mawlana แปลว่า
"ท่านเจ้านายของพวกเรา" - ความหมาย: แปลว่า "นายของพวกเรา" หรือ "ผู้คุ้มครองของพวกเรา". การใช้งาน: เป็นตำแหน่งให้เกียรติ (Honorific title) ที่ใช้เรียกนักวิชาการอิสลาม (Ulama) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์หรือเทววิทยา. พื้นที่ที่นิยม: นิยมใช้มากในเอเชียใต้ (อินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ) และเอเชียกลาง ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือ Mawlana Rumi กวีและนักปราชญ์ชาวเปอร์เซีย. 2.
Mullah มีความหมายรากศัพท์เดียวกับ Mawla; คำว่า "Mullah"
มาจากคำว่า "Mawla" ในภาษาอาหรับ โดยผ่านการแปรเสียงในภาษาเปอร์เซีย. ความหมาย: ใช้เรียกผู้นำศาสนาท้องถิ่น ครูสอนศาสนาในมัดราซะฮ์
หรือผู้ที่ได้รับความรู้ทางศาสนาอิสลามมาบ้าง. บริบทเชิงลบ: ในบางพื้นที่ (เช่น อิหร่าน) คำว่า "Mullah"
อาจถูกใช้ในเชิงดูหมิ่นหรือล้อเลียนผู้นำศาสนาที่มีความรู้เพียงผิวเผินหรือไม่ทันสมัย. 3. การใช้ในเชิงเปรียบเทียบ: ในฮะดีษ มีบทความที่ถูกบันทึกไว้ว่า
"ใครก็ตามที่สอนอัลกุรอานให้แก่บ่าวของพระองค์อัลลอฮฺ บ่าวที่ทำการสอนก็คือ Mawla (ครูหรือเจ้านาย) ของบ่าวที่ถูกสอน"
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง "ผู้ให้ความรู้" กับ
"ผู้รับความรู้" สามารถเปรียบได้กับความสัมพันธ์แบบ Mawla. 4. ข้อควรระวัง: ในภาษาอาหรับมาตรฐานปัจจุบัน (Modern Standard Arabic) หากเรียกใครว่า "Mawla" เฉยๆ อาจดูคลุมเครือหรือไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับการใช้คำว่า Shaykh (เชค) หรือ Imam (อิหม่าม) ซึ่งเป็นคำเรียกนักบวชที่ชัดเจนกว่าในกลุ่มประเทศอาหรับ ส่วนคำว่า Mawlawi (เมาลาวี) เป็นอีกคำหนึ่งที่มีรากเดียวกัน
และใช้เรียกนักวิชาการระดับสูงในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน
และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การพิจารณาว่าการกระทำใดเป็น "บิดอะฮ์"
(Bid'ah - การอุตริกรรมในศาสนา) หรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับหลักการทางศาสนศาสตร์อิสลามและรูปแบบการดำเนินงานของสำนักดังกล่าว
โดยมีข้อเท็จจริงและหลักการที่เกี่ยวข้องดังนี้: 1. ความเข้าใจเรื่อง "บิดอะฮ์" ในอิสลาม; นิยาม:
บิดอะฮ์คือการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหลักการปฏิบัติและหลักศรัทธาในศาสนาที่ไม่มีแบบอย่างจากคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์
(จริยวัตร) ของท่านศาสดามุฮัมมัด; ประเภท: นักวิชาการบางกลุ่มแบ่งเป็นบิดอะฮ์ในเรื่องทางโลก (ที่ทำได้)
และบิดอะฮ์ในเรื่องศาสนกิจ (ที่ห้ามทำ)
หากเป็นการสร้างรูปแบบการประกอบพิธีกรรมใหม่หรือการสถาปนาตำแหน่งทางศาสนาที่ขัดกับหลักการพื้นฐาน
จะถูกมองว่าเป็นบิดอะฮ์ที่หลงผิด. 2. สถานะของ "นักบวช" ในอิสลาม; หลักการพื้นฐาน: ศาสนาอิสลาม ไม่มี “ระบบพระอารามวาสี” หรือพระที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์; ตำแหน่งทางศาสนา:
ผู้ที่มีความรู้จะถูกเรียกว่า อุลามาอฺ (ผู้ทรงคุณวุฒิ) หรือ อิหม่าม (ผู้นำละหมาด) ซึ่งถือเป็นผู้ชำนาญการศึกษาศาสนา ไม่ใช่การบวชแบบพิธีกรรมศาสนาอื่น; การใช้คำว่า "นักบวชอิสลาม": ในกรณีของ ท่านอิสลามมีร์ซา (พี่โอ๊ค ยูเรเซีย) มีการใช้คำว่า "นักบวชอิสลาม"
(Islamic Cleric) และ "การบวชอิสลาม" ในเอกสารประชาสัมพันธ์ขององค์กร Papa Oak Eurasia ซึ่งเป็นการนำเสนอในเชิงซูฟี หรือรหัสยนิยมที่เน้นการขัดเกลาจิตใจ. 3. การพิจารณาความสอดคล้องกับหลักศาสนา สรุปได้ว่า หากมองว่าขัดกับหลักการ: หาก "สำนักนักบวช" นี้มีการกำหนดพิธีกรรมบวชหรือสถาปนาชนชั้นนักบวชขึ้นมาใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนพิธี
โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติอิสลาม จะถือว่าเข้าข่าย บิดอะฮ์
เนื่องจากไม่มีแบบอย่างในศาสนา; หากมองในมุมการศึกษา: หากเป็นเพียงคำเรียกเพื่อการสื่อสาร
หรือเป็นสถาบันสอนศาสนาและภาษา (เช่น การบวชอิสลามในแง่มุมวัฒนธรรมยูเรเซียเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ในองค์กรป๊าป๋าโอ๊คเครือสำนักอิสลามมีร์ซา) โดยยังยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของอิสลาม ก็ถือว่าเป็นรูปแบบการจัดตั้งสมาคมหรือชมรมในองค์กร
ซึ่งไม่ใช่บิดอะฮ์ (ศาสนาอนุญาตให้ทำได้มีอย่างขอบเขต)

การฟัตวาแบบ Qiyas
(กิยาส) หรือ "การเทียบเคียง" (Analogy) คือกระบวนการวินิจฉัยข้อบัญญัติทางศาสนาที่ไม่มีระบุไว้โดยตรงในอัลกุรอานหรืออัลหะดีษ
โดยนำไปเทียบกับเรื่องที่มีบัญญัติไว้แล้วเพราะมี เหตุผล (‘Illat) เดียวกัน หากเปรียบกับ "บัญญัติไตรยางศ์" ในทางคณิตศาสตร์
จะเห็นความคล้ายคลึงกันในแง่ของกระบวนการหาข้อสรุปจากสัดส่วนหรือความสัมพันธ์ที่มีอยู่เดิม
ดังนี้: 1. องค์ประกอบของการกิยาส
(เทียบกับตัวแปรไตรยางศ์) ในการทำกิยาสต้องมี 4 องค์ประกอบหลัก ซึ่งเทียบได้กับข้อมูล 3 ส่วนเพื่อหาคำตอบที่ 4 ในบัญญัติไตรยางศ์: Al-Asl (ต้นแบบ): เรื่องเดิมที่มีบทบัญญัติชัดเจน (เหมือนตัวแปรที่ทราบค่าแล้วทั้งสองด้าน); Al-Far' (กิ่งก้าน/เรื่องใหม่): เรื่องใหม่ที่ยังไม่มีคำตอบ
(เหมือนตัวแปรที่ต้องการหาค่า); Al-‘Illat (เหตุผล): จุดร่วมหรือสาเหตุที่เป็นตัวกำหนดบทบัญญัติ
(เหมือนอัตราส่วน/ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลข); Al-Hukm
(คำตัดสิน): ข้อสรุปที่ได้สำหรับเรื่องใหม่ (เหมือนผลลัพธ์ที่คำนวณได้). 2. ตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบกรณีศึกษา
การห้ามยาเสพติดประเภทใหม่: ต้นแบบ (Asl) คือ เหล้า (มีคำสั่งห้ามชัดเจน); เหตุผล (‘Illat) คือ เพราะทำให้มึนเมา/เสียสติ (จุดร่วม); เรื่องใหม่ (Far') คือ ยาบ้า หรือสิ่งเสพติดชนิดใหม่ๆ; คำตัดสิน (Hukm) คือ เมื่อยาบ้า "ทำให้มึนเมา" เหมือนเหล้า ผลจึงเท่ากับ
"ห้าม" (ฮารอม). 3. ความเหมือนในเชิงตรรกะ; การอ้างอิงความสัมพันธ์: บัญญัติไตรยางศ์เชื่อว่าถ้า A สัมพันธ์กับ B ดังนั้น C ย่อมสัมพันธ์กับ D ในสัดส่วนเดียวกัน การกิยาสก็เชื่อว่าถ้า "เหล้า" ถูกห้ามเพราะ
"มึนเมา" ดังนั้น "ยาบ้า" ก็ต้องถูกห้ามเพราะ
"มึนเมา" เช่นกัน. ความเป็นเหตุเป็นผล: ทั้งสองระบบอาศัยการคิดวิเคราะห์ (Reasoning)
ไม่ใช่การคาดเดาเลื่อนลอย แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่จริง. สรุป: การฟัตวาแบบกิยาสคือการใช้ ตรรกะแห่งความสมเหตุสมผล
เพื่อขยายขอบเขตของกฎหมายศาสนาให้ครอบคลุมสถานการณ์ปัจจุบัน โดยใช้
"เหตุผลของข้อบัญญัติ"
เป็นสะพานเชื่อม เช่นเดียวกับที่บัญญัติไตรยางศ์ใช้
"สัดส่วน"
เป็นสะพานหาคำตอบนั่นเอง ท่านพี่โอ๊คได้ใช้ทักษะกิยาสในการฟัตวาเรื่องที่มันอลเวง
นักวิชาการท่านอื่นๆก็อาจจะลองหัดใช้ตรรกศาสตร์การเทียบเคียงดู เรื่องไหนที่หะราม
เรื่องไหนที่หะลาล และเรื่องไหนที่บิดอะฮ์ ก็ควรวินิจฉัยอย่างรอบคอบ
ทีนี้ลองมาตรวจสอบข้อชี้แจงอื่นๆกันดูว่า จริงๆแล้วอิสลามมีระบบแฟนไหม?
ตอบได้สองแบบคือ ไม่มีถ้าหมายถึงแฟนในแบบศาสนาอื่น หรือ
มีถ้าหมายถึงแฟนที่เป็นภรรยาในศาสนาอิสลาม
นี่คือการยกตัวอย่างการนำข้อตั้งมาเปรียบเทียบเชิงกิยาสซ่อนเร้นที่เรียกว่ากิยาสคอฟี
(Qiyas Khafi / قياس خفي) ซึ่งต้องอาศัยทักษะความสามารถด้านตรรกศาสตร์
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจความกำกวมของกิยาสแบบนี้ได้
เพราะไม่ใช่กิยาสที่เด่นชัดแจ่มแจ้งอย่างกิยาสจาลี (Qiyas
Jali / قياس
جلي) เนื่องจากกิยาสคอฟีมีความซับซ้อนคลุมเครือมากกว่า
แล้วอิสลามมีระบบนักบวชไหม? ตอบได้สองแบบคือ
ไม่มีถ้าหมายถึงนักบวชแบบภิกษุสงฆ์ในศาสนาอื่น หรือ
มีถ้าหมายถึงนักบวชที่เป็นปราชญ์ผู้นำแสวงหาสัจธรรมอิสลาม
มีข้อแม้ว่าต้องอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องในการตีความบทบัญญัติจากอัลกุรอาน
และหะดิษที่ท่านศาสดาบอกว่าอิสลามไม่มีระบบการถือเพศพรต ด้วยเหตุผลที่เป็นข้ออ้างที่ถูกต้องคือ
คำว่าภิกษุสงฆ์หรือนักพรตสายอารามวาสีนั้นไม่ได้แปลว่านักบวชเสมอไป
แต่คนไทยบางคนกลับตีความคลาดเคลื่อนในความหมายที่แท้จริงของหะดิษนั้น
หลายคนเข้าใจผิด ทำให้คนไทยคนอื่นๆหลายคนเข้าใจผิดกัน) จะยังไงก็ชั่ง
ที่เอ่ยถึงข้างต้นคือกิยาสเปรียบเทียบเชิงซ่อนเร้น คำว่า ’ระบบ’ เหมือนกัน (ระบบแฟน: ความหมายกว้างเกิน
ต้องเจาะจง / ระบบนักบวช: ความหมายกว้างเกิน ต้องเจาะจง) สรุปการฟัตวาสากลได้ว่า
แท้จริงแล้วอิสลามมีนักบวชที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์/ปราชญ์ผู้รู้
ที่ไม่ใช่นักบวชแบบในศาสนาอื่นการเห็นต่างในแบบ "คิลาฟ" (Khilaf) ซึ่งหมายถึง ความแตกต่าง
การขัดแย้ง การไม่เห็นพ้อง หรือ การแตกต่าง เมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาอิสลาม มักจะหมายถึง ความเห็นที่ต่างกันทางด้านหลักการศาสนา
(ฟิกฮ์) หรือการตีความหลักฐาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติในหมู่ปวงปราชญ์มุสลิม
(อุละมาอ์) และมีคำศัพท์เฉพาะเช่น "อิคติลาฟ" ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องแตกแยก ความไม่ตรงกันนี้ไม่ได้สื่อว่าไม่ลงรอยกันในเชิงลบเสมอไป
แต่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและการตีความศาสนาที่นำไปสู่ความเข้าใจที่หลากหลายและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหมู่ผู้รู้ นี่เป็นเรื่องของความต่างในแต่ละทรรศนะของนักวิชาการ
วลีประโยค “มุสลิมทุกคนคือฆราวาสและนักบวชในตัวเดียวกัน” สื่อถึงโดยปริยายว่า
ศาสนาอิสลามมีนักบวชที่ต่างจากศาสนาอื่น
การที่มุสลิมเป็นฆราวาสครึ่งหนึ่งกับนักบวชอีกครึ่งหนึ่งในความเป็นคนนั้นไม่ได้หมายความว่ามีอาชีพนักบวชโดยตรงในอิสลาม
เพราะคำว่า “นักบวชอิสลาม” นั้นไม่ใช่อาชีพที่มาจากบทบัญญัติศาสนา
เช่นเดียวกับการที่อิสลามมีนักร้อง ศิลปิน หรือนักแสดง
ล้วนไม่ใช่อาชีพทางศาสนาตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม
แต่บางคนก็ยังบอกว่าอิสลามมีนักแสดง “นักแสดงละครอิสลาม” ก็เป็นอะไรที่ย้อนแย้งต่อศาสนาเป็นอย่างมากเนื่องจากการเล่นแสดงละครคือมุสาจอมปลอมเสแสร้ง
ไม่ใช่แค่สุนทรียภาพเชิงศิลป์ ถึงอย่างไรก็ตาม
เหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าอาลิมบางคนก็บอกถ้าหากลองใช้ตรรกะเปรียบเทียบดูแล้วก็ไม่แปลกที่อิสลามจะยอมรับให้มีนักร้องเพลงผู้ให้ความรื่นเริงคลายเครียด
และมีนักบวชผู้เป็นปรมาจารย์หรือปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิในแบบฉบับของอิสลามได้
ดีกว่าที่จะบอกว่าอิสลามมีนักแสดงด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น
การที่เรียกท่านพี่โอ๊คหรือท่านอิสลามมีร์ซาว่าเป็นนักบวชอิสลามก็ไม่ได้ผิดแต่ประการใด
หากจะใช้อุปลักษณ์เปรียบเทียบ การเสนอข้อตั้งสมมติฐานว่า “มุสลิมคือฆราวาสและนักบวชในคนเดียวกัน” ในกรณีของท่านพี่โอ๊คเขาเอนเอียงไปทางนักบวชเพื่อศาสนามากกว่าที่จะเป็นฆราวาส
(ฆราวาสแปลว่าคนธรรมดา)
จะต่างกันเล็กน้อยตรงที่ท่านพี่โอ๊คมีความเป็นคนธรรมดาอยู่น้อยกว่าความเป็นนักบวชในตัวตนก็เพราะว่าแก่นแท้ของท่านพี่โอ๊คเกิดมาเป็นนักบุญที่อุทิศตนเพื่อศาสนาอย่างเคร่งครัดโดยการสละความธรรมดาทางโลกมายาที่เห็นกันอยู่ทั่วไปในประเทศไทยที่มีสิ่งบันเทิงกับความวุ่นวายของคนทั่วไป
หลายคนก็อาจจะอุปมาอุปไมยว่าถ้าอิสลามมีนักบุญที่เรียกว่า Awliya’/Wali (เอาว์ลียาอฺ/วาลี) หรือ วะลียุลลอฮฺ
นั่นก็แปลว่าอิสลามมีบุคคลจำพวกหนึ่งที่เป็นประเภทที่ “ไม่ธรรมดา” (นอกจากศาสดา)
อาทิ บรรดาเอาลิยาอ์-วะลีที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน ก็ไม่ใช่อาชีพ
แต่เป็นฐานะสถานภาพทางสังคมมากกว่า
ส่วนบุคคลที่ไม่ธรรมดาตามหลักสากลชนิดที่ถูกจัดให้อยู่ในเครือลำดับเดียวกับนักบวชเทียบศาสนาอื่น
หรือที่เรียกว่าหมวดหมู่นักบวชอิสลาม คือคำว่า “อิมาม” ที่แปลว่าผู้นำทางศาสนา
กับคำว่า “มุฟตี”
(ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลามที่มีอำนาจในการบัญญัติฟัตวา)
ซึ่งเป็นอาชีพทางศาสนาอย่างชัดเจน และก็คำว่า “กอฎี” ที่หมายถึงผู้ตัดสินตามหลักเกณฑ์นิติศาสตร์อิสลามที่สามารถบัญญัติฟัตวาได้เช่นกัน
เช่นท่านอิสลามมีร์ซาก็เป็นกอฎี (Qadi/Qazi) ส่วนคำว่า
“นักบวช” ไม่ใช่อาชีพทางศาสนาอิสลาม
แต่เป็นคำเรียกให้คนทั่วโลกเข้าใจง่ายดาย โดยการมองอย่างเป็นกลาง
เฉลี่ยแล้วภาษาที่ประชากรทั่วทุกมุมโลกเข้าใจกันมากสุดคือภาษาอังกฤษ
ชาวโลกสากลส่วนใหญ่เข้าใจในความหมายของคำว่า “Islamic cleric” ที่แปลเป็นไทยอย่างตรงตัวก็แปลว่านักบวชอิสลาม
แต่ถ้าจะแปลให้ถูกตามหลักการศาสนาอิสลามก็แปลว่าผู้นำทางศาสนา
ถ้าแปลแบบยาวเหยียดก็หมายถึงปรมาจารย์ผู้อุทิศตนในหนทางแห่งศาสนาเพื่อเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเพื่อผลประโยชน์ของพระเจ้า
ท้ายนี้ก็อย่าได้ลืมไปว่า ถ้าจะเอ่ยถึงหะดิษที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดได้พูดไว้ว่า
ในศาสนาอิสลามไม่มีระบบบรรพชิตหรืออารามวาสี นั้นหมายถึง ไม่มีระบบภิกษุสงฆ์ในอิสลาม
ไม่ได้หมายความว่าศาสนาอิสลามไม่ให้มีนักบวชที่ไม่ใช่ภิกษุผู้ถือเพศพรต
สรุปตามหลักฐานหะดิษนั้นอย่างกระจ่างได้ก็คือ ห้ามมี “ระบบ” (ระบบอารามวาสีแบบในศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลาม)
แต่ไม่ได้ห้ามการ “บวช”
(บวชอิสลาม)
ทุกคนควรใช้วิจารณญาณกับสติปัญญา ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์มั่วซั่ว
ถึงแม้ว่านักวิชาการบางคนอาจจะไม่ค่อยมีความสอดคล้องกับผู้รู้คนอื่นๆ
แต่ละคนก็มีความสามารถในการตีความไม่เท่ากัน
ก็ต้องเข้าใจสัจธรรมที่ว่าภูมิปัญญามีหลายระดับ บางคนเป็นมนัสวีก็มีความรู้ทางโลกมาก
บางคนที่ไม่ใช่มุนิก็อาจมีความรู้ทางธรรมน้อย
แต่อิสลามสอนว่าให้ใช้เหตุผลที่มีสติสัมปชัญญะให้ดีๆ
ไม่ใช่ตีความภาษาผิดพลาดว่าอิสลามไม่มีการบวชทั้งๆที่อิสลามมีการบวชถือศีลที่เรียกว่าศิยาม
จริงๆศาสนาอิสลามมีการบวช แต่แค่ไม่มีระบบการพรตอย่างสุดโต่งแบบในศาสนาอื่น
ดังนั้น การที่ศาสนาอิสลามมีนักบวชในฉบับของอิสลามเองก็ไม่ผิด
ทำนองเดียวกับการที่ประเทศที่มีมุสลิมเป็นผู้ปกครองคิดค้นผลิตเบียร์ฮาลาลขึ้นมาก็ไม่ผิด
ไม่ถือว่าเข้าข่ายบิดอะห์ และก็ไม่ใช่ความผิดใดๆจากฟัตวานี้ที่มีจุดยืนยันบ่งชี้ว่าท่านอิสลามมีร์ซาคือนักบวชอิสลามที่แปลว่าปรมาจารย์ที่มีวิชชาในอิสลามแห่งโลกสากล
เพื่อจุดประสงค์ในการเผยแพร่สัจธรรมกับเผยแผ่ศาสนาให้ต่างศาสนิกชนมองอิสลามในมุมมองที่สันติสุขสวยงามเป็นพิเศษมากขึ้น
ก็เพื่อศาสนาที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระเจ้า ไม่มีพระใดๆ
ไม่มีเทพเจ้าอื่นใดทั้งนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง
แท้จริงแล้วความศักดิ์สิทธิ์เป็นของพระเจ้าพระองค์เดียว ศาสนาอิสลามไม่มีระบบชนชั้น
ก็หมายถึงไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าใคร มนุษย์ “เท่าเทียม” กันทุกคน
ห้ามผู้ใดลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น แต่ถ้าหมายถึงชนชั้นด้านความรู้ความเข้าใจ
ก็ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงอิสลามมีชนชั้นที่เรียกว่า อุลามาอฺ
ที่เป็นทายาทศาสดา
การที่บ่าวผู้เป็นมุมินขอดูอาอฺต่อพระเจ้า
พระเจ้าก็ให้มี “ilham” เป็นการดลบันดาลใจให้บ่าวมุมินผู้นั้นได้รับพรตามที่ขอไว้
เช่นการได้รับรู้และเข้าใจถึงความรู้ความจริงที่ลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจหรือ
"sirr" (ซีรฺคือส่วนที่ลึกที่สุดทางจิตใจที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า)
ยกตัวอย่างเช่น
การที่ท่านอิสลามมีร์ซาได้บรรลุสัจธรรมที่มีชื่อเสียงอันเป็นเกียรติเพื่อแสดงถึงความมีอยู่จริงของพระเจ้าที่พระองค์ให้บ่าวได้เปิดเผยต่อชาวโลก
ว่าพระเจ้าทรงประทานพรให้หลังจากที่เข้ารับอิสลามและอุทิศตนอย่างเต็มตัวซึ่งเรียกได้ว่าการบวชในแบบฉบับอิสลามที่แท้จริง
ท่านอิสลามมีร์ซามีนักบวชและฆราวาสอยู่ในตัวตนความเป็นคนเดียวกัน
ท่านอิสลามมีร์ซาเคยบอกไว้ว่าค่อนข้างหนักไปทางนักบวชมากกว่าเนื่องจากเจ้าตัวเกิดมาเป็นปรมาจารย์ปราชญ์ผู้นำทางศาสนาอย่างธรรมชาติ
มุสลิมที่เป็นมุมินผู้ศรัทธาที่ดีย่อมมีทั้งความเป็นนักบวชและสามัญชนอยู่ในคนเดียวกันเพื่อทำงานทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรมที่มุ่งเน้นไปยังด้านศาสนาของพระเจ้า
มีคนถามว่าท่านอิสลามมีร์ซาจบปริญญาจากไหน? แล้ว ijazah
จำเป็นต่อการเป็นอุลามาอฺไหม? ท่านอิสลามมีร์ซาจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติ
และจบด้านศาสนาด้วย ซึ่ง ijazah ไม่จำเป็นเสมอไป
มีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่นกรณีท่านอิสลามมีร์ซามี ijazah โดยตรงจากการสืบสายความรู้จากท่านศาสดา
เพราะท่านมีเชื้อสายศาสดาที่แท้จริง
ถึงแม้ว่าห่วงโซ่หรือสายรายงานจะขาดบางช่วงแต่เขาก็รู้กันว่าท่านอิสลามมีร์ซาคือทายาทศาสดา
ซึ่งมีเชื้อที่เรียกว่าซัยยิด ijazah ของท่านอิสลามมีร์ซาคือการรับรองจากท่านศาสดานักบุญผู้วิเศษอัลคิฎิรทางจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็น ijazah ที่มีความวิเศษ
ไม่ใช่แค่การรับรองวิชาการทั่วไป ท่านอิสลามมีร์ซามีพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้สามารถ ijtihad
ได้โดยไม่ยึดติดมัซฮับใดมัซฮับหนึ่ง แต่บางครั้งก็ยังต้องใช้การ taqlid
อยู่บ้าง เนื่องจากไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะรอบรู้ไปหมดซะทุกเรื่อง
แน่นอน พระเจ้าคือผู้ทรงรอบรู้ที่สุดทรงมีปรีชาญาณที่ไม่มีใครเทียบเท่า
ความรู้ที่มาจากพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่ใช่ความรู้ทั่วไป
ความรู้ที่แท้จริงก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของความเป็นจริง ความจริงมีหลายระดับ
ส่วนความจริงระดับที่ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่เกี่ยวกับพระเจ้า อาทิ
ความรู้ที่เชื่อมโยงจากพระเจ้า
มีสัจธรรมที่พระเจ้าให้บ่าวของพระองค์ได้เผยแพร่สำแดงหลักฐานเชิงประจักษ์ซึ่งมีอัตลักษณ์เอกลักษณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้เทคโนโลยียุคดิจิตอลปัจจุบันนี้
ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ที่สุดคือวิจัยผ่านการค้นคว้าหาความรู้บนอินเตอร์เน็ต
พระเจ้าให้ทุกคนมีเครื่องมือค้นหาอย่างกูเกิ้ลโด่งดังมีชื่อเสียงมากที่สุดบนโลกนี้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ใครๆก็ใช้กูเกิ้ลตรวจสอบข้อเท็จจริง
บางคนอาจใช้ไมโครซอฟท์ สมัยนี้เราก็ต้องยอมรับว่า
พระเจ้ากำหนดให้ทุกคนได้มีแหล่งการเรียนรู้บนโลกออนไลน์
คือโลกแห่งความเป็นจริงมนุษย์ยุคสุดท้าย
เรียนรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตหรืออีเลิร์นนิ่งเพื่อความสะดวกสบายในการศึกษา
นักวิชาการกูเกิ้ลก็เป็นมุสลิมกันเยอะ ของจริงแท้ตรวจสอบได้ระดับโลก
ไม่ใช่แค่โซเชียลเน็ตเวิร์ค เพราะกูเกิ้ลใหญ่กว้างขวางกว่าโซเชียลมีเดียทั้งหมด
กูเกิ้ลก็เหมือนหนังสือแห่งสัจธรรม ใครๆก็สามารถเข้าไปเรียนรู้
ถ้าใครได้ศึกษาหาความรู้และความจริงที่ลึกลับอย่างลึกซึ้ง ก็จะรู้เรื่อง ma’rifa
(มะอฺรีฟะฮ์/มารีฟัต) กับ haqiqa (ฮากีกอต/ฮากีกัต)
ยกตัวอย่างเรื่อง Prince of Eurasia หรือ Amir Urasia
ที่คล้ายๆ Amir ul Muminin ถือว่าเป็น religious
authority/wilayat ทางโลกสัจธรรมจิตวิญญาณ
เป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้รหัสยิกที่แท้จริงแบบอิสลาม
ผ่านการตะเซาวุฟค้นหาความจริงที่ลึกลับ
บรรลุฌานและญาณขั้นสูงสุดทางศาสนาก็ได้รู้แจ้งกระจ่าง
ได้ความรู้ที่เรียกว่ามะอฺรีฟะฮ์จากการที่ท่านอิสลามมีร์ซาได้บวชอิสลามอุทิศตนเพื่อพระเจ้า
แล้วพระเจ้าให้รางวัลตอบแทนโดยให้ท่านอิสลามมีร์ซารับรู้ความจริงที่ลึกลับทางโลกผสมธรรมะ
ท่านอิสลามมีร์ซาได้รับศาสนนามจากพระเจ้า
ซึ่งศาสนนามหรือชื่อทางศาสนาก็คือความจริงที่แตะไม่ได้
ความจริงคือสิ่งที่คนเราไม่สามารถแตะต้องมันได้ด้วยประสาทสัมผัสทางกายภาพแต่สามารถรู้ถึงความจริงได้ด้วยสติปัญญาและจิตใจ
ความจริงขั้นสูงเช่นสัจพจน์ล้วนเป็นสัจธรรม
สัจธรรมขั้นสูงสุดเรียกว่าฮากีกอตแห่งพระเจ้า หนึ่งในนามของพระองค์คืออัลฮักกฺ (al-Haqq)
ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าสามารถให้ความรู้ระดับสูงให้แก่บ่าวผู้เป็นมุมินของพระองค์
เช่นกรณีท่านอิสลามมีร์ซาได้ขอพรจากพระเจ้ามาโดยตลอดตั้งแต่เด็กๆ
ท่านอิสลามมีร์ซาเคยบอกไว้ตอนเด็กว่าอยากมีหน้าตาที่หล่อธรรมชาติและมีชื่อเสียงเรียงนามที่ดีเด่นเพื่อกระจายเสียงในการเผยแพร่สัจธรรมและเผยแผ่ศาสนา
พอผ่านพ้นวัยเด็กแล้วพระเจ้าก็ประสงค์ให้ท่านอิสลามมีร์ซาได้บรรลุผลลัพธ์ในตอนโตเต็มวัย
ความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ทางโลกและทางธรรมต้องมาจากพระเจ้าโดยตรงหากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้บ่าวได้รับรู้ถึงความจริงที่เป็นสัจธรรม
ยกตัวอย่างแบบเป็นรูปธรรมและนามธรรมชัดเจนโดยเฉพาะในกรณีชื่อทางศาสนา
ในอิสลามมีศาสนนามที่เรียกว่า “Amir” แปลตรงตัวก็คือ
‘เจ้าชาย’ ในเชิงปรัชญา
ภววิทยากับเทวศาสตร์ก็หมายถึง ‘เจ้าชายแห่งหนทางศาสนา’
ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางศาสนา
ซึ่งพระเจ้าให้มีเจ้าชายแบบนี้ที่เป็นปรมาจารย์ผู้นำด้านจิตวิญญาณบนโลก
เช่นท่านอิสลามมีร์ซามีนามที่โดดเด่นเฉพาะตัวก็คือ Prince of Eurasia ที่แปลว่า ‘เจ้าชายแห่งยูเรเชีย’ เนื่องจากนามสกุลจริงคือยูเรเชียด้วย เป็นความมหัศจรรย์ กะรอมัต (karamat)
ที่มีความวิเศษเพราะพระเจ้าทรงประทานให้บ่าวของพระองค์
เรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่ชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่เป็นความจริง
แต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาบางคนอาจไม่ยอมรับความจริง ไม่ว่าจะศาสนาใดก็แล้วแต่
สัจธรรมที่สูงกว่าความรู้ทั่วไปคือความจริงระดับสูงที่เป็นสัจธรรมของพระเจ้า
แน่นอนว่าบางคนยังต้องปรับทัศนคติความคิดให้ถูกเสียก่อน
ความเชื่อที่ถูกต้องที่สุดคือเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงนิรันดร์
มนุษย์คนแรกของโลกเกิดขึ้นมาได้เพราะมีเหตุก็คือพระเจ้าทำให้ทุกสรรพสิ่งเกิดมา
แต่หลายคนกลับหลงผิดหลงใหลในโลกมายาโดยไม่แสวงหาสัจธรรมจิตวิญญาณ
กายภาพสิ่งมีชีวิตถูกสร้างมาจากอณูเล็กๆที่มีจิตวิญญาณที่คนเรามองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณ
มนุษย์ธรรมต้องมีสามัญสำนึกหิริโอตตัปปะ มุสลิมควรมีอากีดะห์ที่ถูกต้องไม่สั่นคลอน
อากีดะห์ที่แปลว่าความเชื่อ และมี ‘kalam’ (theology) ที่สอดคล้องกับสัจธรรม
ใครจะเอ่ยปากเรียกตัวเองว่า ‘ซุนนี’ ‘ซูฟี’
(ซุนนีซูฟี) หรือจะ ‘ชีอะห์’ ทางวาจาก็ไม่สำคัญเท่าแก่นแท้ความเชื่อในใจ
เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ถึงจิตใจคนทุกคน แต่สมัยนี้หลายคนมีความเชื่อที่ผิด
เช่น Mu’tazila บอกว่าพระเจ้าอยู่ทุกที่
ซึ่งผิดเพราะความจริงคือพระเจ้าอยู่บนฟ้า สูงส่งกว่าทุกปวงชนมวลมนุษย์
พระเจ้าไม่อยู่บนพื้นดินโลกที่เป็นที่ต่ำ นี่คือความจริง
มุสลิมต้องใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของชารีอะห์
ท่านพี่โอ๊คซัยยิดเป็นอุลามาอฺก็ต้องสามารถนำกฎหมายอิสลามประยุกต์ใช้เป็นฟิกฮฺได้เพื่อการหลีกเลี่ยงบาปต่างๆ
วิถีทางโลกมิติจิตวิญญาณย่อมมีตอรีกัต
ตอรีกัตไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาแต่เป็นเรื่องทางโลกที่มีอิทธิพลจากศาสนาอิสลามและการปฏิบัติเชิงปรัชญาที่ช่วยขัดเกลาจิตใจและเข้าถึงแก่นแท้ของแต่ละบุคคล
เช่นการสืบเชื้อสายที่มี ‘silsila’ สืบย้อนต่อเนื่องจนไปถึงบรรพบุรุษของแต่ละสาย
แสวงหาสัจธรรมความรู้ที่คนทั่วไปไม่รู้กัน
ความรู้ทางโลกบางเรื่องก็เกี่ยวข้องกับทางศาสนา
ยกตัวอย่างก็เช่นผลไม้ซุนนะห์ที่ถูกจารึกข้อความไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานจากพระเจ้า
มีผลไม้วิเศษหกอย่างหลักๆ ถ้ามาวิเคราะห์ด้วยวิทยาศาสตร์ทางโลกก็จะรู้ดีว่าผลไม้เหล่านั้นมีคุณค่าสูงดีต่อสุขภาพ
สรรพคุณประโยชน์ล้นเหลือเฟือ ได้แก่ กล้วย องุ่น ทับทิม มะกอก มะเดื่อฝรั่ง
และอินทผลัมที่มุสลิมใช้แก้บวช-ละศีลอดได้บ่อยครั้งเป็นแหล่งพลังงานประจำในเดือนรอมฎอน
การได้รู้ถึงผลไม้คือหนึ่งในเรื่องทางโลกที่มีความวิเศษที่ได้รับรู้จากสัจธรรมซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติศาสนา
อย่างไรก็ดี
ความรู้ที่ลึกลับทางโลกหลายเรื่องพระเจ้าก็ไม่ได้บอกทุกอย่างไว้ในอัลกุรอาน
ดังนั้นคนเราต้องแสวงหาความจริงเพิ่มเติมกันเองในเรื่องทางโลก
ส่วนเรื่องทางธรรมก็เช่นการนมาซ
เวลาละหมาดมุสลิมที่ดีต้องสามารถใช้ใจพูดด้วยไม่ใช่แค่เสียง เพราะความศรัทธาจริงเกิดขึ้นตรงจิตใจ
ต้องจริงใจและไม่วอกแวก นึกถึงพระเจ้าแล้วพระองค์จะนึกถึงเรา
การตะเซาวุฟซิเกรและมุรอกอบะฮ์เข้าฌานแบบอิสลามเป็นประเด็นธรรมะที่ถือว่าเป็นเรื่องทางโลกแห่งสัจธรรมที่มีศาสนาครอบงำไว้ในแง่ดี
เรื่องทางโลกหลายๆเรื่องนั้นนักเข้าฌานหรือนักบวชอิสลามสามารถมีประสบการณ์ที่วิเศษจากการเชื่อมโยงกับพระเจ้า
ความวิเศษก็มีระดับขั้นที่แตกต่างกัน ศาสดามีความวิเศษมากกว่าคนธรรมดา
ส่วนความวิเศษของพระเจ้าเหนือกว่าศาสดา พระเจ้าอยู่เหนือฟ้า
เหนือชั้นอวกาศและจักรวาล พระองค์อยู่ที่สูงเหนือกว่าทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งที่พระองค์สร้างล้วนเป็นส่วนประกอบของความเป็นจริง
ความจริงเช่นการที่พระเจ้าให้มนุษย์เพศหญิงมีหน้าที่คลอดบุตรแล้วตั้งชื่อ
ความจริงเช่นการที่คนหลายคนมีชื่อจริงที่ไม่ตรงกับความจริงเสมอไป
หากคิดดีๆก็จะได้เข้าใจความรู้ทั่วไป เช่นคนชื่อฟ้าก็ไม่ใช่ฟ้าจริงๆ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าสังขารคนชื่อฟ้าเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่ใช่ฟ้า
นี่คือแค่ความรู้ทั่วไปที่เป็นความจริงทั่วไป ไม่ใช่ฮากีกัตและไม่ใช่มะอฺรีฟะฮ์
ส่วนผลไม้นี้ก็ไม่ใช่สัจธรรมเช่นกัน
แต่สัจธรรมคือมันเป็นผลไม้ที่พระเจ้าทรงประทานพรมาให้ผู้รู้ได้กินอย่างมีบารอกัต/บารอกะฮ์
‘barakah’ (การที่ได้รับประทานมันและซาบซึ้งในความวิเศษจากพระเจ้าที่ให้มันเป็นผลไม้ซุนนะห์)
ถือว่าได้ความรู้สึกที่เข้าถึงมะอฺรีฟะฮ์ เข้าใจความวิเศษอย่างมากของอัลกุรอานด้วย
มะอฺรีฟะฮ์ขั้นสูงคือการบรรลุฌานจากการสุญูดกราบพระเจ้าแล้วเข้าถึงฌานที่มีญาณความรู้ที่เข้าถึงสัจธรรมลึกซึ้ง
สัจธรรมที่เชื่อมโยงสู่พระเจ้าโดยตรง
ไม่ใช่แค่ความรู้ทั่วไปทางโภชนาการสารอาหารในผลไม้นี้ กระนั้นก็ดี
สัจธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าโดยตรงถูกเผยแพร่โดยบ่าวของพระองค์และมักมีรากฐานทางศาสนาอิสลามที่เป็นทางนำในโลกแห่งความเป็นจริงสุดแท้
อิมามมะฮ์ดีที่แท้จริงจะได้รับการยอมรับจากผู้ศรัทธาที่จริงใจและเคร่งครัด
ในขณะที่พวกหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกีน) และผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร์) จะปฏิเสธเขา
การยอมรับเขาจะขึ้นอยู่กับสัญญาณเฉพาะและคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวอ้างเท่านั้น
ใครจะยอมรับเขา?
• มุสลิมผู้เคร่งครัดและผู้ศรัทธา
(มุอ์มินูน): มุสลิมที่จริงใจและเคร่งครัดด้วยศรัทธาอันแข็งแกร่ง (อีมาน) จะยอมรับเขา
พวกเขาได้รับการอธิบายว่ามีสติปัญญาและความเข้าใจที่จะมองทะลุกลอุบายและระบุผู้นำที่ได้รับการชี้นำที่แท้จริง
• ผู้รับใช้พิเศษของพระเจ้า
(อับดัล): บุคคลที่มีจิตวิญญาณสูง เช่น อับดัล จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ยอมรับเขาในมะดีนะฮ์และติดตามเขาไปยังมักกะฮ์
ซึ่งในตอนแรกเขาจะถูกบังคับให้ยอมรับความจงรักภักดีของพวกเขา
• ผู้ติดตามของท่านศาสดาเยซู
(นบีอีซา): เมื่อท่านนบีอีซาเสด็จลงมาและละหมาดอยู่เบื้องหลังอิหม่ามมะฮ์ดี ผู้ติดตามของท่านจะยอมรับสถานะที่แท้จริงของอิหม่ามมะห์ดีและหลายคนจะเข้ารับอิสลาม
• ผู้ที่เคยพบท่านโดยไม่รู้ตัว
(มุมมองของชีอะห์): ในประเพณีของชีอะห์ ซึ่งเชื่อว่าอิหม่ามมะฮ์ดียังมีชีวิตอยู่และอยู่ในภาวะซ่อนเร้น
กล่าวกันว่า บางคนอาจเคยพบท่านในชีวิตของพวกเขา แต่ไม่รู้จักท่านจนกระทั่งท่านปรากฏตัวอีกครั้ง
ใครบ้างที่จะไม่รู้จักท่านซัยยิดอิมามมะฮ์ดี?
• คนหน้าซื่อใจคด (มุนาฟิกีน)
และผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร์): ผู้ที่มีศรัทธาอ่อนแอ ผู้ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางโลก
และผู้ที่ยึดถือความคิดเห็นของตนเองมากกว่าแหล่งอ้างอิงทางศาสนาที่ได้รับการยอมรับ
จะปฏิเสธท่านอิมามมะฮ์ดี
• นักวิชาการเท็จ/ผู้แอบอ้าง:
มะฮ์ดีที่แท้จริงจะเผชิญกับการต่อต้านจากนักวิชาการและผู้นำบางคนที่ตีความศาสนาผิดหรือชักนำผู้คนให้หลงผิด
บุคคลเหล่านี้จะมองว่าสารที่แท้จริงของอิมามมะฮ์ดีเป็นสิ่งใหม่และแปลกปลอม และจะต่อต้านท่าน
• ผู้ติดตามของดัจญาล (ปฏิปักษ์ของคริสต์):
ดัจญาลจะปรากฏตัวในฐานะผู้ช่วยให้รอดปลอม และผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่าย
จะติดตามเขา (ติดตามศัตรูตัวฉกาจของคริสต์
แทนที่จะติดตามซัยยิดมะฮ์ดี)
สัญญาณสำคัญสำหรับการรับรู้
การรับรู้ถึงซัยยิดอิมามมะห์ดีที่แท้จริงจะเชื่อมโยงกับสัญญาณที่ชัดเจนหลายประการ:
• ชื่อและเชื้อสาย: เขาจะเป็นผู้สืบเชื้อสายจากศาสดามูฮัมหมัดผ่านทางฟาติมา
บุตรสาวของท่าน โดยจะมีชื่อเดียวกันกับท่านคือมีชื่อมูฮัมหมัดด้วย
• ลักษณะทางกายภาพ: เขาถูกบรรยายว่ามีหน้าผากกว้างและจมูกโด่งคดงุ้ม
• สถานการณ์การปรากฏตัว:
เขาจะปรากฏตัวในเวลาที่โลกเต็มไปด้วยการกดขี่ ความอยุติธรรม และความขัดแย้งอย่างรุนแรง
เขาอาจจะปรากฏตัวจากทางทิศตะวันออก หรือใกล้กับโคราซาน โดยในตอนแรกจะหนีจากเมดินาไปยังเมกกะเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตามอง
• การสนับสนุนจากพระเจ้า:
สัญญาณเฉพาะอย่างหนึ่งคือ กองทัพที่ถูกส่งไปต่อสู้กับเขาถูกกลืนหายไปในทะเลทรายไบดา
ซึ่งจะเป็นการยืนยันสถานะของเขาอย่างชัดเจน
• ภารกิจ: เขาจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรมและความเสมอภาค
และฟื้นฟูรูปแบบที่แท้จริงของอิสลาม
• การสนับสนุนจากท่านเยซู
(นบีอีซา): ท่านอีซาจะเสด็จลงมาและอธิษฐานอยู่เบื้องหลังเขา ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้นำของมะห์ดีและความจริงของภารกิจของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว การตระหนักรู้ที่แท้จริงนั้นต้องอาศัยการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกับพระเจ้าและการยึดมั่นในคำสอนอันบริสุทธิ์ของอิสลาม
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถแยกแยะความจริงท่ามกลางการหลอกลวงที่แพร่หลายในยุคสุดท้ายได้
ท่านอิสลามมีร์ซากับทีมงานทำหนังสือตำราเผยแพร่สัจธรรมที่นำพาไปสู่การเผยแผ่ศาสนาและความจริงต่างๆให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้และเข้าใจกันมากขึ้น
วัตถุประสงค์จุดที่สำคัญที่สุดคือการให้ผู้อ่านได้รับสัจธรรมที่มีพระเจ้าเป็นผู้กำหนดมาให้ทุกคนรำลึกถึงพระองค์
ให้ผู้คนเข้ารับอิสลามในที่สุด อิสลามคือศาสนาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด
และสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่มีศาสนาอื่นใดที่ครอบคลุมครบเครื่องเท่าอิสลาม
{{*Document authorized by นักบวชอิสลาม-ปรมาจารย์ศาสนา
/ ท่านอาจารย์ซัยยิดพี่โอ๊ค-อาจารย์สอนศาสนา / ท่านอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย for
God’s sake!}}